MGR Online - อุทธรณ์ยกฟ้อง “มัลลิกา” โฆษก ปชป.แถลงข่าวไม่หมิ่น “ปู-ยิ่งลักษณ์” ว.5 โฟรซีซั่นส์ ชี้วิพากษ์วิจารณ์ติชมด้วยความเป็นธรรม
ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (14 ธ.ค.) ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.2493/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 จากกรณี ว.5 โฟรซีซั่นส์
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยได้แถลงข่าวหมิ่นประมาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ว่ามีพฤติการณ์และความประพฤติผิดจริยธรรม ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เสียชื่อเสียง โจทก์จึงขอให้ยึดทำลายเอกสารที่มีข้อความดังกล่าว และโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 7 วัน
โดยในวันนี้นางมัลลิกา จำเลยเดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลพร้อมด้วยทนายความ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2556 ให้ยกฟ้อง เห็นว่าการเบิกความของโจทก์และโจทก์ร่วมแตกต่างกัน ทั้งเรื่องของห้องที่ใช้ในการประชุมที่โรงแรมโฟรซีซั่นส์ก็เบิกความเป็นคนละห้องกัน ส่วนพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ติดตามโจทก์ร่วมก็ไม่ได้อยู่ภายในห้องประชุมด้วย โดยนั่งรออยู่ด้านนอกห้องประชุมชั้น 7 รวมทั้งตัวโจทก์ร่วมเองและนักธุรกิจที่เข้าร่วมประชุมกับโจทก์ร่วมในวันดังกล่าวก็ไม่ได้มาเบิกความเป็นพยานต่อศาล จึงมีข้อพิรุธสงสัยว่าโจทก์ร่วมอยู่ในการประชุมที่โรงชั้นโฟร์ซีซั่นส์ชั้น 7 ด้วยหรือไม่ อีกทั้งโจทก์ร่วมไม่ได้แจ้งกำหนดการดังกล่าวให้สื่อมวลชนทราบ จึงเป็นที่สงสัยแห่งสาธารณชน และไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้ออกมาชี้แจงหรือแถลงข่าวในกรณีดังกล่าวให้ทราบแต่อย่างใด จำเลยในฐานะประชาชนและในฐานะรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ย่อมมีสิทธิที่จะติชมการทำงานของฝ่ายรัฐบาลและสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้
ส่วนข้อความที่จำเลยแถลงข่าวนั้นก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าเป็นการกล่าวหาโจทก์ร่วมในประเด็นเรื่องที่โจทก์ร่วมผิดจริยธรรมหรือไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไรบ้าง พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง การแถลงข่าวของจำเลยจึงเป็นการติชมด้วยความสุจริตเป็นธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ของให้ลงโทษตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว เห็นว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์เบิกความว่า ในวันที่ 8 ก.ย. 2555 พยานเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ที่ห้อง Executive Club ตั้งแต่เวลา 14.30-23.00 น. ซึ่งที่บริเวณข้างนอกห้องประชุม ภายในคลับดังกล่าวมีลูกค้ามารับประทานอาหารและเครื่องดื่ม แต่พยานจำได้ว่าแต่ละคนเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการประจำ แสดงว่าเรื่องที่โจทก์ร่วมเข้าร่วมประชุม น่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขนาดเป็นการลับที่จำเป็นต้องมาพูดคุยในสถานที่ดังกล่าว จนไม่สามารถเปิดเผยได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์ร่วมไม่สามารถเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับการประชุมที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ได้ ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งโจทก์ร่วมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่โดยตรงต้องเข้าประชุม เนื่องจากเป็นการพิจารณากฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ของชาติ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบการทำงานของโจทก์ร่วมและในฐานะประชาชนมีสิทธิ์ตั้งข้อสงสัยพฤติกรรมของโจทก์ร่วมได้ นอกจากนี้การแสดงความเห็นของจำเลยเป็นลักษณะเชิงตั้งคำถามมากกว่ายืนยันข้อเท็จจริง อีกทั้งเมื่อโจทก์ร่วมเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นบุคคลที่ประชาชนสามารถตั้งข้อสงสัย ติดตามพฤติกรรมและแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) และยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกล่าวหาโจทก์ร่วมมีพฤติการณ์ไปในเชิงชู้สาว จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ภายหลังนางมัลลิกากล่าวว่า ดีใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นตนทำหน้าที่ตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นการตั้งคำถามและไม่ยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2556 ภายหลังมีคดีความกับนายกรัฐมนตรีก็มีเรื่องที่กดดันและวุ่นวายหลายอย่าง ถือตนก็มีกำลังใจและยืนหยัดในการทำหน้าที่นี้มาโดยตลอดและจะทำหน้าที่ต่อไป