เปิด Road Map สูตร 6+4+6+4 = 20 ไทม์ไลน์ ก.ย.-ต.ค. 58 ตั้ง กรธ.จำนวน 21 คน, เม.ย. 59 ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จภายใน 6 เดือน, ส.ค. 59 ทำประชามติภายใน 4 เดือน พิมพ์เอกสารร่างรัฐธรรมนูญแจกให้กับประชาชนผู้มีสิทธิ 40 ล้านกว่าคน ก.ย. 59 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก่อน ต.ค. 59 ยกร่างกฎหมายลูกภายใน 2 เดือน, ม.ค. 60 สนช.ผ่านกฎหมายลูก ภายใน 3 เดือน, ก.พ. 60 ส่งกฎหมายลูกให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบภายใน 1 เดือน เพื่อพิจารณาตรวจสอบว่ากฎหมายลูกขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่, มี.ค. 60 ประกาศใช้กฎหมายลูกและเริ่มรณรงค์หาเสียงได้, มิ.ย. 60 เลือกตั้งภายใน 3 เดือน, คาด ก.ค. 60 ตั้งรัฐบาลใหม่ภายใน 1 เดือน
วันนี้ (15 ก.ย.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมฯ ว่า วันนี้ได้มีการประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรีกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติแล้ว ดังนั้น วันที่ 22 กันยายน 2558 ซึ่งเดิมได้กำหนดให้มีการประชุมร่วมดังกล่าวก็จะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติ ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไปซึ่งตรงกับวันที่ 29 กันยายน 2558 ก็จะเลื่อนไปประชุมในวันพุธที่ 30 กันยายน 2558 แทน เนื่องจากคณะรัฐมนตรีหลายท่านติดภารกิจ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับ Road Map ของการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูปในฐานะของ ครม.และคสช. ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเข้าร่วมประชุมในวันนี้รับทราบด้วย โดยขณะนี้อยู่ใน Road Map ช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา คือ การบริหารราชการโดยรัฐบาลชุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจนถึงปัจจุบัน และจะขยายต่อไปจนถึงวันเลือกตั้ง (ช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมาที่เป็นการบริหารราชการในนามรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ทั้งนี้ สาเหตุการขยายเวลาของรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่จะให้ขยายเวลาดังกล่าว แต่เป็นไปตามหลักการข้อกฎหมายและตาม Road Map โดยมีการยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ขอเรียนด้วยความจริงใจว่ารัฐบาลไม่มีความประสงค์ที่จะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปแต่อย่างใด แต่ดำเนินการด้วยความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาและทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดบนพื้นฐานของความเรียบร้อย ปราศจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขณะที่ช่วงที่ 3 คือ ระยะที่มีการเลือกตั้งใหม่ในวันข้างหน้าเรียบร้อยแล้วเป็นต้นไป เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงอยู่ในช่วงที่ 2 ตาม Road Map ที่ได้กำหนดไว้
สำหรับเรื่องของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 247 คน รวมทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 36 คน ได้สิ้นสุดสภาพลงไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2558 ภายหลังร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบ (ตกไป) จาก สปช. เพราะฉะนั้น การที่จะทำประชามติซึ่งใช้เงินถึง 3,000 กว่าล้านบาท รวมถึงเรื่องประเด็นรองอื่นๆ ที่คาดหวังจะสอบถามในการทำประชามติ จึงไม่เกิดขึ้น
จากนั้นสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้แจงมติ สปช.ไปยังรัฐบาลและ คสช. โดยขั้นตอนจากนี้ คสช.จะต้องแต่งตั้งประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 1 คน และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไม่เกิน 20 คน ภายใน 30 วัน (5 ตุลาคม 2558) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรนูญ (กรธ.) ต้องร่างให้เสร็จภายใน 6 เดือน แล้วนำไปลงประชามติ (ใช้เวลาอีกประมาณ 4 เดือน) พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลตัวเลือกต่างๆ มาให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา
ทั้งนี้ ส่วนกรณีที่มีคำถามจากสังคมเกี่ยวกับสูตร 6+4+6+4=20 โดยเฉพาะมีข้อสงสัยว่าทำไมต้องขยายเวลาไปถึง 20 เดือน นั้น เพราะการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนไม่สามารถทำให้เสร็จภายในระยะเวลาอันรวดเร็วได้ เนื่องจากในแต่ละขั้นตอนมีความยาก แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบของ สปช. สูตรการดำเนินการก็ไม่ต่างจากนี้ คือต้องมี 4+6+4 เพราะต้องมีการทำประชามติ ทำกฎหมายลูก และมีการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน สปช.ก็เพิ่มเข้ามาเพียง 6 เท่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้พิจารณาอย่าไปคิดเพียงว่าทั้งหมดขยายไป 20 เดือน แต่ต้องพิจารณาดูว่าของเดิมถ้าผ่าน สปช.ก็จะมี 4+6+4 วันนี้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็เพียงเพิ่มเข้ามาอีกแค่ 6 และใน 6 นั้น นายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายว่า 6+4+6+4 คือ เป็นการกำหนดเพดานไว้สูงสุดที่จะมีความเป็นไปได้ แต่หากสามารถดำเนินการได้เร็วกว่าที่กำหนดก็เป็นสิ่งที่ดี ทั้งหมดดังกล่าวเป็นแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มอบไว้ให้เป็นแนวทางปฏิบัติ โดยย้ำให้ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งใจทำให้ดีที่สุดภายในระยะเวลาที่มีอยู่ และหากดำเนินการได้เร็วกว่าเดิมได้ก็เป็นสิ่งที่ดี
สำหรับสูตร 6+4+6+4=20 ของรัฐบาล มีดังนี้ กันยายน - ตุลาคม 2558 ตั้ง กรธ. จำนวน 21 คน, เดือนตุลาคม 2558 - เดือนเมษายน 2559 ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จภายใน 6 เดือน, เดือนเมษยาน-สิงหาคม 2559 ทำประชามติ ภายใน 4 เดือน จะมีการพิมพ์เอกสารร่างรัฐธรรมนูญแจกให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิที่จะออกเสียงลงคะแนนประมาณ 40 ล้านกว่าคน เพื่อให้สามารถศึกษาข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นในการที่จะใช้ดุลพินิจในการลงประชามติโดยปราศจากการชี้นำแบบมีนัยของกลุ่มต่างๆ จากนั้นเดือนกันยายน 2559 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
ต่อจากนั้น เดือนกันยายน-เดือนตุลาคม 2559 ยกร่างกฎหมายลูก ภายใน 2 เดือน, เดือนตุลาคม 2559 - เดือนมกราคม 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านกฎหมายลูก ภายใน 3 เดือน, เดือนกุภาพันธ์ 2560 ส่งกฎหมายลูกให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ ภายใน 1 เดือน เพื่อพิจาณาตรวจสอบว่ากฎหมายลูกขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในเดือนมีนาคม 2560 ประกาศใช้กฎหมายลูกและเริ่มรณรงค์หาเสียงได้, เดือนมีนาคม-เดือนมิถุนายน 2560 เลือกภายใน 3 เดือน, เดือนกรกฎาคม 2560 ตั้งรัฐบาลใหม่ภายใน 1 เดือน
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยืนยันว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นตาม Road Map ดังกล่าว ไม่ใช่เพราะรัฐบาลต้องการยืดระยะเวลาออกไปหรือต้องการสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด เพราะนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำคณะรัฐมนตรี เสียสละและทำงานเต็มกำลังความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน โดยไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งเช่นในอดีตเกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ดำเนินการทั้งหมดก็เพื่อกำไรของประเทศชาติและประชาชน
ทั้งนี้ การดำเนินงานของรัฐต่อจากนี้จะมี 2 ส่วนที่จะทำงานคู่ขนานกันไป คือ คณะรัฐมนตรีกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยในระหว่างนี้จะมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ไม่เกิน 200 คน โดยมีไม่นำความกราบบังคมทูลฯ ภายใน 30 วัน (5 ตุลาคม 2558) ทำหน้าที่ดำเนินการให้มีการปฏิรูปต่อจาก สปช. อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นายกรัฐมนตรีได้ให้หลักการเบื้อต้นว่าจะต้องประกอบด้วย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ดังนี้ 1) ข้าราชการ ทั้งที่ยังรับราชการอยู่และเกษียณอายุราชการไปแล้ว เพราะข้าราชการเป็นคนปฏิบัติงานแทนรัฐบาลและใกล้ชิดกับประชาชน 2) นักกฎหมาย 3) นักวิชาการทุกกลุ่มที่มาจากนักคิดและนักปฏิบัติงานจนเป็นที่ยอมรับ
4) ตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคประชาชน ประชาสังคม เกษตร อุตสาหกรรม และภาคส่วนอื่นๆ 5) กลุ่มนักการเมือง และพรรคการเมือง และ 6) กลุ่มส่วนความมั่นคง โดยมั่นใจรัฐบาลจะทำทุกอย่างที่จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมีคุณภาพและจะพยายามไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่ให้มีมาตรฐานที่แตกต่างกันโดยเด็ดขาด
สำหรับโครงสร้างของรัฐจากกันยายน 2558 - กรกฎาคม 2560 มีดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.1 ) งานด้านการบริหาร จะมีคณะรัฐมนตรี มีระบบราชการ คณะกรรมการขับเคลื่อนที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไว้ และมี สนช.ร่วมอยู่ในส่วนนี้ เพราะบางกรณีที่ต้องขับเคลื่อนบริหารราชการอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายมารองรับเรื่องเหล่านั้น โดยวิธีการในการบริหาร นายกรัฐมนตรี เน้นว่าจะต้องบริหารราชการแผ่นดินไปตามข้อกฎหมายและนโยบาย และต้องขจัดความขัดแย้งไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก
1.2) การปฏิรูป ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี ระบบราชการ คระกรรมการยุทธศาสตร์ สปท. และ สนช. โดยวิธีการปฏิบัติงาน จะต้องดำเนินการปฏิรูปทันทีระยะต่อไปและระยะที่จะต้องยั่งยืน ส่วนที่จะต้องดำเนินการทันทีเพราะรัฐบาลไม่สามารถที่จะส่งเรื่องปฏิรูปทั้งหมดไปให้รัฐบาลชุดต่อไป เพราะจะเป็นข้อครหาได้ว่าทำไมรัฐบาลชุดนี้ไม่ดำเนินการเอง ดังนั้น ในระยะเวลาที่รัฐบาลชุดปัจจุบันอยู่จึงต้องดำเนินการทุกอย่างให้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นก่อนที่จะไปฝากชีวิตไว้กับคนอื่นในเรื่องการปฏิรูป รัฐบาลก็ต้องดำเนินการในระยะที่ 1 ให้ได้ด้วยเช่นกัน และต้องไม่อยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้ง
1.3) การปรองดอง จะมีคณะรัฐมนตรี ระบบราชการ และ สนช. โดยมีวิธีการดำเนินการต่างๆ เช่น การปรองดองโดยสันติ การเยียวยา การอภัยโทษเมื่อยอมรับผิดแล้ว ใช้หลักศาสนา การพัฒนา การสร้างความเป็นธรรมขจัดเรื่องต่างๆ ที่เป็นสองมาตรฐาน โดยไม่เลือกปฏิบัติต่อกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
2. คสช.จะเน้นภารกิจในเรื่องของความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหลัก โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44 ที่ขณะนี้ คสช.ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไปแล้ว 27 ครั้ง โดยเรื่องที่ใช้มาตรา 44 จะเป็นเรื่องในเชิงสร้างสรรค์เพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อให้ความขัดแย้งต่างๆ คลี่คลายและสงบลง ตลอดจนการใช้ในเรื่องของการตั้งศูนย์แก้ปัญหา ICAO และเรื่องการถอดยศ รวมทั้งเป็นกลไกให้ ครม.ในการบริหาร การปฏิรูป และการสร้างความปรองดอง เป็นต้น