นายกรัฐมนตรี กล่าวร่ายยาวในงานยุทธศาสตร์ชาติ - ยุทธศาสตร์ทหาร ระบุดีใจคิดตรงกับรัฐบาล เผยที่ผ่านมาให้อำนาจรัฐบาลเลือกตั้งมานาน แต่วันนี้ต้องเดินหน้าประเทศ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ย้ำไม่ใช่นักการเมือง ยังคงเป็นนักการทหาร เพียงเข้ามาทำหน้าที่เท่านั้น ชี้พวกคิดสุดโต่งสร้างวัฒนธรรมที่ผิด เปรยไม่ได้อยากอยู่ในอำนาจ แต่ต้องท้าทายสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ลั่นพวกใช้โซเชียลมีเดียทำลายประเทศไทยอย่าอยู่เป็นสุขเลย
วันนี้ (3 ก.ย.) ที่ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการรับฟังการแถลงยุทธศาสตร์ชาติ - ยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2559 - 2563 ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 57 (นศ.วปอ. รุ่นที่ 57) วิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที่ 56 วิทยาลัยการทัพบก ชุดที่ 60 วิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ 47 และวิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่นที่ 49 พร้อมให้ข้อคิดเห็นตอนหนึ่ง ว่า หลังจากได้ฟังการแถลงยุทธศาสตร์และฟังข้อสรุปแล้วต้องขอชื่นชม และดีใจที่คิดตรงกันกับรัฐบาล ปัญหาอยู่ที่วาเราจะทำอย่างไรให้เกิดผลอย่างเป้นรูปธรรม ประเทศไทยมีปัญหา คือ รู้ว่าโจทย์คืออะไร ผลลัพธ์ต้องการอะไร เราต้องไปคิดหาวิธีว่าจะต้องทำอย่างไร ระเบียบ วิธีการ งบประมาณ และคนของเรามีความพร้อมหรือไม่ รู้สึกดีใจที่มีภาคพลเรือนเข้ามาเรียนนจำนวนมากเพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ทุกวันนี้ตนปวดหัว เนื่องจากมีปัญหามากเช้าเรื่องหนึ่ง กลางวันอีกเรื่อง ตกบ่ายก็มีเรื่องใหม่เข้ามา เนื่องจากมีงานและปัญหามาก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัญหาของประเทศมีมากมายเป็นร้อยเรื่อง ซึ่งสามารถแก้ไขได้พอสมควร ทั้งปัญหาความรุนแรง ปัญหาความไม่เป็นธรรม ปัญหาการทุจริต ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหาการศึกษา แม้จะแก้ปัญหาไปแล้วแต่ก็ยังพร้อมที่จะปะทุเกิดขึ้นมาใหม่ ผ่านมาระยะหนึ่งก็ลืมกันไปว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างวันนี้ก็กลับมาพูดกันถึงเรื่องของประชาธิปไตยกันอีกแล้ว ยืนยันว่า ผมไม่ได้ขัดข้องใครเลย ก็ดีใจที่ยุทธศาสตร์ชาติในวันนี้ตรงกับที่เราวางไว้เป็นโรดแมประยะที่ 1 ส่วนระยะยาวก็อยู่ะหว่างดำเนินการ อย่างไรก็ตาม เรื่องของความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็มีบางคนอยู่ในห้อง ไม่พูดไม่ถาม แต่พอออกนอกห้องก็มาบอกว่าไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ได้พูดไม่ได้ถาม หัวใจสำคัญวันนี้คือการขับเคลื่อนโยบาย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือโยบาย การขับเคลื่อน และผู้ปฏิบัติ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เรามอบอำนาจเด็ดขาดให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมานาน แต่เมื่อวันนี้เราเข้ามาทำงานซึ่งไม่เคยต่อต้านความเป็นประชาธิปไตย แต่บทบาทที่ต้องทำวันนี้คือต้องเดินหน้าประเทศไปให้ได้ และสร้างความไว้วางใจและเชื่อใจซึ่งกันและกัน วันนี้มีปัญหาว่าร่างรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับในวันที่ 6 ก.ย. ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหนว่าจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญของประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากล วันนี้จะรับหรือไม่รับก็ต้องรอดู
“วันนี้เรื่องรับหรือไม่รับก็มีข่าวเข้ามาสองสาย สายหนึ่งบอกนายกฯ รับ อีกสายบอกว่านายกฯ ไม่รับ ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าสองสายนี้มาจากใครยังไม่รู้เลย สรุปว่า ผมเหยียบเรือสองแคมอย่างนั้นหรือ ซ้ายก็ได้ ขวาก็ได้ ผมไม่ได้มีอะไรกับใครอยู่แล้วล่ะ ไม่เคยไปขอหรือสั่งอะไรกับใคร ขอแค่ 5 ปี ให้เดินยุทธศาสตร์ชาติได้ แค่นี้ก็ยังให้กันไม่ได้ วันนี้ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านไปก็ดำเนินการตามขั้นตอนต่อ คือการทำประชามติ ออกกฎหมายลูก และเลือกตั้งในปี 2559 ยืนยันว่า คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ประโยชน์อะไร ที่ผ่านมา มีแต่ปวดหัวตลอดเวลา มีการเสนอโครงการต่าง ๆ เข้ามาตลอดเวลา ถ้าได้ทำมาตั้งแต่เดิมป่านนี้ประเทศไทยเจริญไปไกลถึงดาวไหน ๆ แล้ว แต่วันนี้ยังเป็นแค่บ้องไฟอยู่เลย วันนี้การขับเคลื่อนสำคัญที่สุดทั้งภาครัฐ เอกชน ตำรวจ ประชาชน และมีการเมืองที่สร้างสรรค์ ซึ่งถือว่าวันนี้การเมืองเราสร้างสรรค์แล้ว มีคนบอกว่าผมเป็นนักการเมืองแล้ว ยืนยันว่า ไม่ใช่ ผมยังเป็นนักการทหาร เพียงแต่เข้ามาทำหน้าที่นการเมืองบริหารงานของภาครัฐเท่านั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้มีปัญหาเรื่องงบประมาณภาครัฐ เรื่องภาษี และการทุจริตคอร์รัปชัน โครงสร้างเศรษฐกิจอ่อนแอ ความสามารถแข่งขันน้อย ก่อนเข้ามาตนไม่เคยรู้ว่ามีปัญหา เพราะเห็นรัฐบาลบริหารมีเงินทองเยอะใช้ในส่วนที่ผิดกฎหมายก็เยอะ สิ่งที่รั่วไหลออกไปทำให้ประเทศติดกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ส่วนคนรวยก็ไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายคน แต่ใช้เงินไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องช่วยกันสร้างจิตสำนึกต่อต้านการโกง ถ้าจะบอกว่าโกงได้แต่ต้องแบ่งไม่ได้อีกแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนนโยบายเร่งรัดการปฏิบัติและบูรณาการ การทำงานร่วมกัน เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ อาจเป็นเพราะประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีพรรคการเมืองเข้ามาแบ่งแยกกระทรวงกันบริหาร ทำให้การทำงานทับซ้อนกัน อย่างงบประมาณ ปี 57, 58 ก็ต้องบูรณาการร่วมกัน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้การทำงานครอบคลุมชัดเจน ซึ่งปัญหาก่อนหน้านี้ที่พบ คือ ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเอง และฝ่ายการเมืองเข้ามาทาบทับ ซึ่งตนเป็นห่วงส่วนราชการ หากตนไม่อยู่จะทำกันอย่างไร ข้าราชการเองก็ต้องเตรียมตัว เช่น การแต่งตั้งวางตัวบุคคลให้ถูกต้อง ส่วนเรื่องกฎหมายก็ต้องมีความขัดเจน อย่าให้คลุมเครือ อย่าทำให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ ต้องยึดกฎหมายเดียวกัน
ทั้งนี้ ข้าราชการเป็นส่วนสำคัญ เราสามารถช่วยได้ในการสร้างจิตสำนึกให้ประเทศชาติมั่นคง ให้นักการเมืองคิด ตนไม่ใช่นักการเมือง คนที่อยู่กับตนก็ไม่ใช่นักการเมือง ทั้งที่เป็นพลเรือน ทั้งข้าราชการ ตำรวจ ทหาร และบางอย่างที่สร้างความขัดแย้งสร้างความสุดโต่ง พวกที่คิดว่าว่ามันต้องแบบนั้นต้องแบบนี้ การคิดแบบนี้คือการสร้างวัฒนธรรมที่ผิด ตนไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อตนทุกอย่าง แต่เราต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผล ที่ผ่านมาเคยเห็นนักการเมืองมาพูดแบบนี้ไหม วุ่นวายแบบตนหรือไม่ ไม่มี ตนพูดได้ทุกเรื่อง เพราะตนไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ใครที่จะอยู่เบื้องหลังอยู่ใต้เท้าตนไม่มี จำไว้ว่าทุกคนในนี้ถ้าอยากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในอนาคต อย่าทำในที่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าทำวันนี้ วันหน้าทุกคนจะเสียความภาคภูมิใจ ไปเป็นนายเขาก็ไม่มีใครนับถือ เพราะเขาก็รู้เช่นเห็นชาติกันหมด ถึงมีตำแหน่งก็ยังไม่มีอะไร แล้วสุดท้ายวันหน้าเราจะเป็นคนที่สร้างประวัติศาสตร์อันเลวร้ายให้ประเทศ ให้ลูกหลาน วันนี้มีปัญหาเราต้องช่วยกันแก้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งเดินหน้ายุทธศาสตร์เหล่านี้ 20 ปี แต่พอตนจะทำแค่ 5 ปีก็บ่นกันแล้ว ที่ตนบอกว่าจะทำยุทธศาสตร์ 20 ปี เขาก็ไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ที่จะมีความขัดแย้งเขาบอกว่าต้องปฏิรูปต้องปรองดอง วันนี้เขากลับมาถามว่าเราปฏิรูปอะไร บอกว่าวันนี้รัฐบาลเข้ามาไม่ปฏิรูปอะไรเลย เขาไม่ได้ทำกับตนนี่ ตนยอมรับว่าเหนื่อย เหนื่อยกันทั้งรัฐบาล เหนื่อยกันทุกคนไม่เคยได้หยุดพัก ใครที่มาอ้างว่าได้เงินมากมาย ไปหามาแล้วมาบอกตน วันนี้ไม่ใช่เวลาที่มันจะมาทะเลาะกัน
สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ โลกไซเบอร์ วาทกรรมต่าง ๆ เราต้องตระหนักในหน้าที่ของตัวเองก่อน วันนี้ วปอ. และยุทธศาสตร์สร้างมากี่รุ่นแล้ว นี่รุ่น 57 ตนก็เคยเรียน ตนก็เคยเรียนไม่ใช่ไม่เคย แต่เวลาตนมาเรียนพวกเราก็ยังไม่มากัน บางตัวตนก็ไปเรียนซ่อมเอา เพราะตอนนั้นมีปัญหาตอนเกษียณสมัยรุ่น 50 เป็นผลพวงกับปี 2549 ไทยเราเจอมาหนักตลอด ทรมานกันมาตั้งแต่ 2549 จะสิบปีแล้ว ตนก็อดทนเหมือนทุกคน ว่าจะรอให้เกษียณ แต่สุดท้ายพอ 6 เดือนหลังมันทนไม่ได้จริง ๆ เพราะเขาเล่นออกมาด่ากันทั้งสองฝ่าย
มีหลายคนบอกว่าเรายังไม่เริ่มปฏิรูปทั้ง ๆ ที่ตนก็ทำทุกเรื่อง ใครยังไม่รู้ก็ฟังตนบ้าง จะผ่านสื่อ ผ่านหนังสือพิมพ์ก็ได้ ส่วนที่เขาบอกว่าตนอาจจะหงุดหงิดก็ถือเป็นธรรมดาของตน เพราะบางปัญหาตนก็แก้ปัญหาไม่ได้เลยทำให้หงุดหงิด แต่ไม่ได้โมโห หรืออาจแกล้งโมโห แต่บางครั้งก็โมโหมากกว่าที่เห็นอีก เพราะบางทีแก้ปัญหาแก้ไปแก้มาโมโหตัวเอง ตั้งแต่เป็นนายกฯ ปวดหัวทั้งวัน เพราะประชุมเช้าพูดบ่าย พูดทั้งวันงง ๆ ไปหมดว่าตัวเองพูดเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง
ส่วนความเชื่อมโยงและพลังการผลิตทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ทั้งหมดต้องไปด้วยกัน เพราะทั้งหมดคือยุทธศาสตร์ที่ทำให้ประเทศชาติมั่นคง เมื่อมั่นคงก็ทำให้การค้าการลงทุนไปได้ดี จนไปสู่การมั่งคั่ง และเพื่อให้เกิดความยั่งยืนก็ต้องสร้างทายาทไว้ เช่น การสร้างจิตสำนึก การสร้างค่านิยม 12 ประการ ดังนั้น คนที่อยู่ปัจจุบันจะต้องคิดว่าในอนาคตจะทำให้ลูกหลานอยู่ได้อย่างไรเพื่อสร้างทายาทที่เป็นคนดีมีคุณธรรมและศีลธรรม และสุดท้ายการมีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล หลายคนฟังตนพูดยาวอาจจำไม่ได้ วันหลังตนจะสอบว่าพูดอะไรบ้าง เหมือนสอบเลื่อนขั้นข้าราชการ แต่ถามก่อนวันนี้ใครจำได้บ้าง ตนยังจำไม่ได้เลยมันเยอะจัด
ส่วนที่เราเคยถกเถียงกันเรื่องยุทธศาสตร์ ในวันนี้ตนจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ในปีนี้เพราะตนคิดไว้อยู่แล้ว แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องมาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอมาอะไรที่ตรงใจตนก็ให้รัฐบาลสานต่อ ไม่ใช่ว่าตนไปกำชับให้ต้องทำแบบไหน ตนไปเสนอเองไม่ได้ กลายเป็นว่ามากล่าวหาว่าตนอยากอยู่ในอำนาจ อยู่เพื่อผลประโยชน์
“วันนี้มาบอกว่าผมอยากอยู่ จะอยู่เท่าโน้นเท่านี้ อยู่กี่วันกี่เดือนกี่ปี ผมไม่ได้อยากอยู่สักวันจะบอกให้ เห็นใครบอกว่าเป็นนายกฯ จะดี เป็นรัฐมนตรีแล้วสนุก แต่สำหรับผมกลับบ้านก็มีแต่ความทุกข์ เดี๋ยวก็ไลน์มาแล้ว ต้องสั่งโน่นนี่นั่นสารพัด คนใต้บังคับบัญชาก็ทำไป ผมยอมรับว่า ไม่มีความสุขเลยจริง ๆ ดังนั้น วันนี้เราจะต้องฟันฝ่าท้าทายสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงให้ได้ ดูว่าวันนี้สังคมโลกเขากำลังพูดถึงอะไรกัน เราต้องไปให้ทันเขาให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้สังคมโลกพูดเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงน้ำ อาหารซึ่งรัฐบาลเอามาขับเคลื่อน โดยต้องทำหน้าที่ต่อสังคมโลก ทำหน้าที่ต่ออาเซียน ทำหน้าที่ต่อประเทศไทย เวลาตนไปต่างประเทศตนก็พูดอย่างนี้ ฟังออกไม่ออกไม่รู้ แต่ตนเสียงดัง วันนี้เราจะทำอย่างไรให้คนไทยมีรอยยิ้ม มีความสุขและไม่โง่ ไม่ใช่มีความสุขแล้วโง่ ซึงขณะนี้เรากำลังเร่งรัดการศึกษาที่จะทำให้คนมีความสุข อย่าทำอะไรสักแต่ว่าทำ ได้คิด ได้ทำ ได้ถ่ายรูปได้เปิดเวที สื่อมวลชนมาก็จบ มันต้องมีการวางโรดแมปมทุกอัน ตามระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน 12 เดือน ว่า ปัญหาแต่ปัญหาจะใช้เวลาเท่าไหร่ แก้ปัญหาได้กี่เปอร์เซ็นต์ ต้องมีความชัดเจน
ความอ่อนไหวที่เราเผชิญหน้าอยู่ขณะนี้ คือเรื่องเศรษฐกิจที่เราให้ความสำคัญ ซึ่งก็มีปัญหาเรื่องราคาข้าวที่ไทยต้องแบ่งตลาดกับต่างประเทศ โดยในหลายประเทศเห็นชอบร่วมกันที่จะให้มีการจัดเวทีพูดคุย แต่บางประเทศมีรายได้ในเรื่องนี้มากพอสมควร แล้วจะให้เขาลดราคาคงไม่ได้ ไทยเองก็ต้องหนีไปทำข้าวพรีเมียม ข้าวสุขภาพ เครื่องสำอางจากข้าว เพื่อสร้างมูลค่าให้สูงขึ้น ถ้าจะไปขายข้าวแข็งกับเขาก็สู้ไม่ได้ เพราะต้นทุนการผลิตของเรายังสูงอยู่ เราต้องแบ่งตลาดให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมก็จะทำให้ต้นทนการผลิตต่ำลง รวมถึงการรวมพลังความรู้ของปราชญ์ชาวบ้านกับเกษตรเพื่อทำเกษตรแผนใหม่วันนี้ทำหมดแล้ว ทั้งเรื่องน้ำ ดิน พืช ก็มีการทำแอพเคชั่นหมดแล้ว แต่จะอ่านกันหรือเปล่า
การอ่านหนังสือ แน่ใจหรือไม่ว่าอ่านครบ 70 ล้านคน เพราะบางคนไม่ได้อยู่ในระบบ แต่ประเทศในอาเซียนเขาเป็นที่หนึ่งที่สอง เพราะประเทศเขาบังคับว่าทุกคนต้องเรียนรู้ อย่างน้อยก็พูดได้ 2 ภาษา แต่ประเทศไทยบังคับอะไรไม่ได้เลย แต่อยากได้ทุกอย่าง ส่วนเรื่องการเร่งรัดเรื่องพลังงาน ซึ่งเราจำเป็นต้องโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ที่ จ.กระบี่ และเหตุที่เลือก จ.กระบี่ เพราะมีโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว และเป็นพื้นที่ติดทะเล สามารถขนส่งถ่านหินได้สะดวก แต่ก็มาบอกว่าทำไม่ได้ เพราะจะทำชาวบ้านเดือดร้อน เลยบอกว่าจะไปสร้างที่ไหนก็ไป ก็ให้รัฐมนตรีไปดูอยู่ แต่จะไปสร้างที่ไหนยังไม่รู้เลย ให้ทุกคนเข้าใจเรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องความมั่นคง เพราะเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานทั้งหมด ที่ผ่านมาราชการก็รับนโยบายไปปฏิบัติแต่ก็ทำไม่ได้ วันนี้เรากำหนดอนาคตของประเทศให้ประชาชนเห็น ได้ดูกันหรือเปล่า ที่มีการเปลี่ยนจอในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ที่เอากราฟิกมาทำ ซึ่งจะบอกว่าเราจะทำอะไรอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า เป็นสร้างการรับรู้ ทุกคนจะได้รู้อนาคตของตัวเอง ไม่ใช่ให้ใครมาชักนำ ไม่ใช่มารวมกลุ่มต่อต้านขัดขวางทุกอย่าง แล้วใครจะทำอะไรให้ได้
นายกฯ กล่าวถึงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ ว่า เศรษฐกิจต้องมีความเข้มแข็งจากภายในก่อน ทั้งจากท้องถิ่นและภูมิภาค การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หรือคนไทยไปลงทุนต่างประเทศ เพราะเราต้องแชร์กันทั้งหมด ส่วนอาเซียนต้องเป็นไทยบวกหนึ่ง พม่าบวกหนึ่ง เพราะเรานำคนเดียวไม่ได้ เราต้องนำด้วยกัน เพราะบางอย่างเขาทำไม่ทันเรา ถ้าไม่ยกเขาขึ้นมาก็จะเป็นบ่อเกิดความขัดแย้ง รวมทั้งการจัดเขตเศรษฐกิจต้องพึ่งพาศักยภาพชายแดนและเพื่อนบ้าน สิ่งที่ไทยได้เปรียบหลายประเทศคือความเป็นไทย ประเทศมีความสวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้ค่าแรงจะสูง แต่รอยยิ้มก็พอทำให้อยู่ได้ แม้กำไรจะน้อย แต่เราจะต้องปรับแก้เรื่องแรงจูงใจและสิทธิภาษี ไม่เช่นนั้นนักลงทุนเขาย้ายฐานการผลิตหนีหมด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ ว่า ต้องรีบสร้างแผน ต้องทำงานเชิงรุก ไม่ใช่ทำแค่งานรับแขกแจกของ รับนาย รับเมียนาย คือ ทำได้ไม่ว่ากัน แต่ต้องดูแลกันพอสมควร เพราะวันนี้กระทรวงการต่างประเทศต้องทำงานเชิงรุก ต้องขายของให้ด้วย ทุกสถานทูตต้องมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ การค้าการส่งออก การเกษตร การแปรรูป ไม่ใช่ทำแค่งานพบปะหาหรือเยี่ยมเยือนและถ้าผมไปประเทศไหนแล้วกระทรวงการต่างประเทศตอบไม่ได้ก็จะโดนอีกหากตอบไม่ได้
สำหรับยุทธศาสตรการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นายกรัฐมนตรี กล่าวไปถึงการปฏิรูปการศึกษาว่า ทำอย่างไรคนจะไม่ออกนอกภาคการศึกษาระหว่างเรียน เพราะปีหนึ่งมีคนออกไปหลายแสนคน เพราะความยากจน และไม่มีทุนให้คนจน แต่กลับให้ทุนคนรวย ซึ่งงบประมาณการศึกษาแแบ่งเป็นงบฟังก์ชัน ถึง 90% และงบที่เหลือนำมาพัฒนาการศึกษา ถามว่าแล้วจะพัฒนาอะไรได้ ส่วนการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ต้องหาวิธีการยุบว่าทำอย่างไรเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะถ้ามีโรงเรียนก็ต้องมีผู้อำนวยการโรงเรียน นั่นคือค่าใช้จ่ายประจำ ถ้าลดงบประจำได้ ก็ต้องมีอะไรพิเศษให้กับครูที่มีความสามารถพิเศษ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาการอ่านหนังสือไม่ออกว่า ถ้าประชาชนอ่านหนังสือไม่ได้ อ่านไม่ได้เอกสารไม่ได้ ดังนั้น เอกสารราชการต้องทำให้อ่านง่ายขึ้น เพราะประชาชนก็กลัวเพราะเขาอ่านหนังสือไม่ออก และไม่กล้าทำอะไรและกลัวการติดต่อราชการ อ่านไม่ออกก็ไม่เข้าใจ แต่นี่เจอ เจ้าหน้าที่ทะเลาะกับผัวมาแถมหน้างอออีก นี่คือปัญหา และคนที่มาติดต่อ ส่วนชาวบ้านก็ต้องอารมณ์เย็น อารมณ์ดี ไม่ใช่โมโห และผมได้รับเสียงร้องเรียนถึงศูนย์ดำรงธรรม ว่า ฝรั่ง โทร.มาขอความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ก็อธิบาย มีล่ามแปลแต่ไม่เข้าใจ ก็พูดว่าโง่ฉิบหาย บังเอิญ ฝรั่งฟังภาษาไทยออก เขาก็เลยมาร้องเรียน อันนี้เรื่องจริง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวตอนหนึ่ง ว่า “วันนี้มีการใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อทำร้ายกันมาก ผมไม่ยอมอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเขาอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้กำลังหามาตรการอยู่ ถ้าอยู่ต่างประเทศแล้วยังทำอยู่ต่อไป ทั้งคลิปหรืออะไร อยู่ได้อยู่ไปวันนี้ก็ถอนพาสปอร์ตแล้วก็ยังทำอยู่ พวกนี้คิดจะไม่กลับมาแล้ว คิดทำลายให้หมดประเทศไทย อย่าอยู่เป็นสุขกันเลย ก็คิดกันแบบนี้พวกวางระเบิดทั้งหลายในช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนช่วงใหม่กำลังสอบอยู่ ไอ้คนเหล่านี้เป็นคนใจร้าย แสดงว่าบ้านเมืองเรายังไม่สงบทั้งปัจจัยภายในและภายนอกจึงต้องขอความร่วมมือกับทุกท่าน”