นายกรัฐมนตรี เผยแนวทางปฏิรูปการศึกษา เน้นเรียนอย่างไรความรู้ไม่น้อยกว่าเดิม แต่มีความสุขมากกว่าเดิม สั่งกระทรวงศึกษาธิการพิจารณา ชี้ติดกับดักปริญญา เรียนให้จบก่อนแต่ไม่รู้จะทำอะไร เผยให้แนวทางให้ประชาชนรู้จักตนเอง เล็งตั้งสมาคมช่วยเหลือศิลปินเจ็บป่วย - ไม่มีเงินรักษา พร้อมสอนสำนึกไทย เปรยคนรุ่นหลังไม่ภูมิใจ เอาดนตรีไทยดัดแปลงสากล ทำให้ลืมพื้นฐาน กลายเป็นประจบเขา แนะใส่ “รำไทย - ศิลปะไทย” ไปด้วย
วันนี้ (1 ก.ย.) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายปฏิรูปการศึกษา ว่า ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 2 จึงต้องลงรายละเอียด ว่า เด็กนักเรียนจะเรียนหนังสืออย่างไร โดยที่ความรู้ไม่น้อยไปกว่าเดิม แต่มีความสุขมากกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเรียนมากแล้วรู้มาก บางทีเรียนมากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ได้
โดยได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาให้เกิดความชัดเจนขึ้น อย่าให้เป็นอย่างที่เขาเรียกร้องมาว่า ลดเวลาเรียนลง แล้วลูกเขาจะโง่ลงหรือเปล่า จะสอบมหาวิทยาลัยไม่ได้ ซึ่งต้องมีการสร้างความเข้าใจ ซึ่งการลดเวลานั้นต้องเอาหลักสูตรมาดูว่า ที่เรียนกัน 8 สาระวิชา กี่ชั่วโมง อันไหนจำเป็น ไม่จำเป็น บางวิชาไม่ต้องเรียนตอนประถม เอาไปเรียนตอนมัธยมก็ได้ หรือจะเรียนให้น้อยลง เพราะด้วยความเจริญวัยของคน สมองมีแค่นั้น เด็กก็เรียนได้แค่นั้น แต่ไอ้ที่มันใช้สอบแข่งขันก็ลดไม่ได้
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ต้องทำให้คนทุกคนอย่าติดกับดักตัวเอง ติดอยู่กับใบปริญญา เรียนให้จบ แต่ไม่ได้มองว่าจะหากินกับอาชีพไหน มันไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ด้วย เอาเวลาที่เหลือมาวันละ 2 ชั่วโมง มาเติมในส่วนนี้เข้าไป เพื่อให้เขาเรียนรู้ว่าเขาจะมีความเข้มแข็งอย่างไรในสังคม มีภูมิคุ้มกันอย่างไร เรียนรู้ในเรื่องของโลกภายนอก วิธีการทำงานเมื่อเขาโตขึ้น
ทั้งนี้ วันนี้เรื่องที่ประเทศไทยขาด คือ คณิตคิดในใจ เรียงความ ย่อความ การคิดที่เป็นวิสัยทัศน์ ขาดนักค้นคว้า นักวิจัย ขาดเรื่องอาชีพ กีฬา ซึ่งหากเราสามารถใส่ในส่วนนี้ได้ จะทำให้เด็กมีทางเลือก จัดกลุ่มวิชาขึ้นมา อาจจะ 5 อย่าง 10 อย่าง วนสอนไปและต้องหาครูที่มีคุณภาพ ไม่ใช่พอว่าง 2 ชั่วโมงแล้วครูบอกให้อ่านหนังสือเอา ครูต้องสอนวิชาเหล่านี้แล้วนับเป็นหน่วยกิตเหมือนกัน แต่อาจไม่ต้องเน้นเรื่องการสอบ แต่เน้นที่การให้การเรียนรู้ เอาภาพต่างประเทศมาให้เขาดู วันนี้โลกโซเชียลมีเดียนั้นรวดเร็ว มีทั้งประโยชน์และโทษ อาจจะเอาตรงนี้มาสอนกันว่า เราจะมีวินัยกันอย่างไร การเคารพกฎหมาย อย่าทำให้ตัวเองมันซ้ายหรือขวาจนสุด เพราะทุกคนต้องอยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายที่เท่าเทียม
“สมัยก่อน พ่อแม่สอนได้ แต่วันนี้พ่อแม่ไม่มีเวลา ต้องหาเงินเลี้ยงลูกมากกว่าเก่า ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้น ลูกบางทีก็คิดนอกกรอบ โรงเรียนก็สอนให้ไปทางนี้ทางเดียว หากเป็นอย่างนี้ประเทศเราก็พัฒนาไม่ได้ การเป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมเป็นระบบที่ดีที่สุด แต่อย่าลืมว่าเราแก้ปัญหาเรื่องความเท่าเทียมไม่ได้ เพราะมันต้องมีการลงทุน มาก - น้อย ภายใต้การแข่งขันเสรี ไม่ใช่เฉลี่ยเท่าเทียมกัน แต่ทำอย่างไรให้คนทุกคนไม่มีความเหลื่อมล้ำ ก็ต้องใช้กฎหมาย สอนให้คนเคารพกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
เมื่อถามว่า ขอให้นายกฯ อธิบายแนวทางการปฏิรูปการศึกษา นายกฯ กล่าวว่า ไปดูว่าที่ผ่านมามีรัฐมนตรีกี่คน นโยบายชัดเจน และมีความต่อเนื่องหรือไม่ ประชาชน ผู้ปกครอง ร่วมมือหรือไม่ สภาพสังคมทำให้เกิดความสับสนหรือเปล่า ซึ่งการปฏิรูปการศึกษานั้นต้องมี 2 อย่าง คือ 1. เรียนเพื่อปริญญา ซึ่งห้ามไม่ได้ ทุกคนอยากมีหมด 2. เราจะเข้มแข็งได้อย่างไร ทำงานอย่างไร ตนเองมีศักยภาพตรงไหน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา มีเด็กนักเรียนมาหาตนหลายคนบอกว่าอยากเป็นครู เป็นแพทย์ พยาบาล ซึ่งพวกนี้เรียนหนังสือเก่ง อีกพวกนึงก็อยากเป็นครูบ้างแต่เรียนหนังสือไม่ดี เขาก็ต้องมีทางเลือกของเขา ปริญญาเอาเมื่อไหร่ก็ได้ หากพ่อแม่ไม่มีเงินหรือต้องเรียนต่อแล้วใช้เงินเยอะทำให้พ่อแม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ก็หางานทำก่อนก็ได้
ขณะเดียวกัน หากอยากเป็นครูก็ต้องไปเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ มีแนวคิดในการพัฒนา แต่ถ้าหัวเราไม่ดี พยายามไปสอบแข่งกับคนพวกนี้มันก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น อย่างไรคนผิดหวังก็ต้องมากกว่าคนสมหวัง เข้ามหาวทิยาลัยรัฐเพราะเกรดมันสูง ก็ต้องไปหาทางเลือกโดยเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน แต่หากเรียนแล้วมันแพงเกินไป ไม่มีเงินเรียนก็กลายเป็นเด็กแว้น เรื่อยเปื่อยไปอีก ซึ่งนี่คือภาระสังคม
“ต้องให้ประชาชนรู้จักตนเองก่อน หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็ต้องไปหางานทำ ไม่ก็ไปเรียนวิชาชีพ ช่าง วิศวกรรถไฟ วิศวกรราง ที่รัฐกำลังขาดอยู่ ต้องเร่งตรงนี้ หากทำอย่างนี้มหาวิทยาลัยเอกชนจะมีคนไปเรียนเยอะขึ้น เพราะจะมีการรับรองว่าจบมาจะได้รายได้เท่าไหร่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเรื่อง การให้ความช่วยเหลือบุคลากรที่อยู่ในวงการศิลปวัฒนธรรม ว่า ศิลปินแห่งชาติ มีเงินดูแลให้อยู่แล้ว มีสิทธิประโยชน์ให้ แต่อย่าลืมว่าบ้านเราศิลปินเยอะ ลิเก ลำตัด นักร้อง นักเขียน ซึ่งตนกำลังดูอยู่ว่าจะตั้งสมาคมให้คนเหล่านี้ได้หรือไม่ เพื่อคอยช่วยเหลือยามชรา เห็นหลายคนที่เป็นพระเอก แสดงหนังหลายเรื่อง ป่วยแต่ไม่มีเงินรักษา ซึ่งเป็นการร้องขอมาจากศิลปินอาวุโส ท่านบอกว่าไม่ได้ขอให้ตัวท่าน แต่สงสารศิลปินที่ไม่มีเงินเหล่านี้ พอแก่ก็ลำบาก แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กติกา ไม่ใช่แสดงหนังเรื่องเดียวแล้วได้ ก็คงไม่ใช่
“ต้องดูคนให้ครบทุกกลุ่ม ทุกคน ให้ความห่วงใยแต่เกษตรกร อาชีพอื่นก็มีเยอะแยะ ถึงต้องมีมาตรการประกันสังคมตามมาตรา 40 เพิ่ม เข้าใจกันบ้าง ถ้าอ้างยากจนกว่าแล้วจะเอากติกาอะไรมาทำ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมตอนท้ายว่า เราต้องสอนให้มีสำนึกไทย วันนี้เราบอกท่องเที่ยววิถีไทย แต่ขาดสำนึกไทย วันนี้ดนตรีไทยอยู่ในงานศพ งานในวังที่เป็นพิธีการ ลิเก มีอยู่แค่นั้น คนรุ่นหลังก็ไม่มีความภาคภูมิใจ แต่ก่อนก็ไม่ค่อยมีคนนิยมใส่เสื้อผ้าไทยพระราชทาน ตนใส่ไปต่างประเทศ เขาก็ชอบ สั่งตัดหลายประเทศแล้ว บอกว่าสวยดี แต่คนไทยกลับไม่ชอบ
“ผมมองว่าต้องแก้ใหม่ ทำให้คนมีสำนึกว่า ความเป็นไทยเด้อ มันอยู่ในตัวเธอนั่นแหละ ทุกอย่างที่เกิดมาวันนี้ เพราะบรรพบุรุษสร้างเอาไว้ อย่าไปรังเกียจเสียงเพลง ฟังไปเถอะครับ เขากำลังเร่งแต่มันต้องมีสตอรี่ บางทีการดัดแปลงดนตรีไทยไปเล่นกับดนตรีสากล มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้ลืมพื้นฐาน กลายเป็นว่าเราต้องไปประจบเขาคนถึงจะฟัง ผมว่ามันไม่ใช่ และผมจะเริ่มฟังให้มากขึ้น การรำไทย ศิลปะความเป็นไทย ไม่รู้เรื่องเลย มันต้องใส่ใน 2 ชั่วโมงนั้นไปด้วย ประวัติศาสตร์ก็ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้สอนแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ