ผ่าประเด็นร้อน
เริ่มมีความคืบหน้าเป็นรายวันสำหรับคดีลอบวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และสะพานสาทร เมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคม และบ่ายวันที่ 18 สิงหาคมตามลำดับ หลังจากมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวต่างชาติหนึ่งรายยังไม่ระบุสัญชาติได้ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งย่านหนองจอก เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม และล่าสุดวันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ก็มีการออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติมอีกสองรายเป็นผู้หญิงและผู้ชาย โดยคนแรกเป็นผู้เปิดเช่าห้องพัก ส่วนคนที่สองเป็นผู้อยู่อาศัยภายในห้องเช่าดังกล่าว อย่างไรก็ดี ห้องเช่าที่ว่านี้อยู่ในย่านมีนบุรี คนละแห่งกับที่อพาร์ทเมนท์ที่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติก่อนหน้านี้ แต่เป็นการขยายผลมาจากการสอบสวนของเข้าหน้าที่หลังจากมีการควบคุมตัวไปสอบเค้นโดยฝ่ายทหารโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมสอบสวนด้วย
จากการแถลงประจำวันของศูนย์ติดตามสถานการณ์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงถึงความคืบหน้าดังกล่าว โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ เปิดเผยว่าจากการตรวจค้นพบอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการประกอบระเบิด คือ 1. ดินดำ ที่เป็นดินที่ใช้ประกอบและขยายแรงระเบิด 2. ปุ๋ยยูเรีย ที่สามารถนำมาประกอบเป็นดินระเบิดได้ถ้ามีการผสม 3. รถบังคับวิทยุ พร้อมรีโมตคอนโทรลในการบังคับวิทยุ โดยสามารถใช้เป็นตัวจุดชนวนระยะไกล 4. นอตทั้งตัวผู้และตัวเมีย ที่อาจจะใช้แทนสะเก็ดวัตถุระเบิด 5. หลอดไฟขนาดเล็ก ที่อาจใช้แทนเป็นเชื้อปะทุไฟฟ้าได้ 6. นาฬิกาดิจิตอลและนาฬิกาตั้งเวลา
นั่นเป็นความคืบหน้าของคดีที่มีออกมาให้เห็นเรื่อยๆ และเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นมาการลอบวางระเบิดทั้ง
ที่แยกราชประสงค์ และที่สะพานสาทร มีการทำกันเป็นขบวน และมีคนไทยรวมอยู่ด้วย ตามที่มีการระบุกันไปก่อนหน้านี้ ทั้งจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้าทีมสอบสวนควบคุมสำคัญนี้เคยระบุเอาไว้ โดย พล.ต.อ.สมยศระบุว่ามีขบวนการร่วมก่อเหตุไม่ต่ำกว่า 10 คน
อย่างไรก็ดี ที่น่าสนใจก็คือคำพูดของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ที่เปิดเผยว่า “ทหารอยู่ระหว่างสอบสวนผู้ต้องสงสัยชายชาวต่างชาติที่เชื่อมโยงเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ เพื่อขยายผล โดยมีตำรวจร่วมสอบสวนด้วย พร้อมระบุว่า ผู้ต้องสงสัยยอมบอกชื่อบุคคลที่ร่วมก่อเหตุแล้ว 2-3 คน รวมทั้งรายชื่ออักษรย่อของผู้ติดต่อจ้างวาน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้บงการใหญ่ และคาดว่าจะใช้เวลาสอบสวน 7 วัน ก่อนดำเนินการขั้นต่อไป”
น่าสังเกตก็คือ คำพูดของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่ระบุว่า “ผู้ต้องสงสัยเปิดเผยรายชื่ออักษรย่อของผู้ติดต่อจ้างวาน” แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าใครคือ “ผู้บงการใหญ่”
หากเป็นแบบนี้ก็หมายความว่า การลอบวางระเบิดทั้งที่ราชประสงค์ และที่สะพานสาทร หากเชื่อมโยงถึงกัน ก็ต้องเป็นฝีมือของ “มือระเบิดรับจ้าง” ที่ต้องมีคนติดต่อ มีคนชี้เป้า และมีคนลงมือวางระเบิด และที่สำคัญแบบนี้ก็ต้องมี “คนบงการ” หรือ “คนจ้าง” นั่นเอง
ขณะเดียวกัน เมื่อปะติดปะต่อจากคำพูดของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ย้ำว่าไม่เกี่ยวกับขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ เป็นเรื่อง “ความแค้นแทนเพื่อน” มีคนไทยรวมขบวนการด้วย สอดคล้องกับคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง แต่ที่น่าจับตาก็คือคำพูดของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหัวหน้าทีมควบคุมคดีที่ตั้งข้อสังเกตว่าการเป็นลงมือที่รุนแรงและไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน อีกทั้งยังสังเกตพบว่าอาจมี “การระเบิดพลีชีพ” หรือไม่ ซึ่งไม่เคยมี
ดังนั้น ถ้าให้สรุปในนาทีนี้ หากบอกว่าแม้จะยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการก่อการร้ายข้ามชาติจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เพราะเป็นเรื่องของความสัมพันระหว่างประเทศ ไม่ต้องการให้พูดถึงชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ ไม่พูดถึงจีน ไม่พูดถึงตุรกี ก็ต้องพิจารณาถึง “ขบวนการในประเทศ” ที่ร่วมมือกัน มี “ผู้รับจ้างวาน” และมี “ผู้บงการ หรือผู้จ้าง” กลายเป็นว่าคนที่ลงมือก่อเหตุก็คือ “มือระเบิดรับจ้าง” เหมือนกับที่เราได้ยินชื่อคุ้นชินในเรื่อง “มือปืนรับจ้าง” หรือไม่ ซึ่งการลงมือรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนแบบนี้ถือว่าคงบงการนั้นมี “ความแค้นฝังหุ่น” กันเลยทีเดียว เพราะเป้าหมายเป็นผู้บริสุทธิ์ และมีเจตนาทำลายเศรษฐกิจของประเทศไทย และแน่นอนว่าคนลงมือย่อมไม่ธรรมดา แต่คนจ้างหรือผู้บงการนี่สิไม่ธรรมดากว่า
เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงเดาทางได้ชัดเจนขึ้นหากมีการจับกุมขยายไปกว้างกว่านี้!