คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และคณะกรรมาธิการกฎหมาย สปช.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หลังพบไม่มีคำปรารภ พร้อมหยิบตำราเรียน “วิษณุ” มัดคอ ส่วน “สิระ” ศิษย์พุทธะอิสระ ซัด “อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์” เอาแต่ได้ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ซัดนักการเมืองไม่เคยพูดสิ่งดีๆ มีแต่ทำลายบ้านเมือง หลอกชาวบ้านบาดเจ็บล้มตาย ตอกควรย้ายไปอยู่เรือนจำคดีโกงเสียด้วยซ้ำ ย้ำเห็นด้วยมี คปป.ไว้แก้วิกฤต
วันนี้ (26 ส.ค.) ที่รัฐสภา นายนิรันดร์ พันทรกิจ คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงว่า วันนี้คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และคณะกรรมาธิการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้ส่งหนังสือต่อนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ผ่านสำนักงานเลขาธิการ สปช.พร้อมแนบรายชื่อสมาชิก สปช.จำนวน 13 คนเรียบร้อยแล้วเพื่อขอให้ส่งประเด็นปัญหาร่างรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นปัญหาความแล้วเสร็จของร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีคำปรารภ ทั้งๆ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ 2550 มีคำปรารภ โดยเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ฉบับประชามติ ที่มีการเว้นว่างไว้ให้ใส่วันที่และข้อความหลังการทำประชามติ
นอกจากนี้ ตนยังได้ตรวจสอบพบหนังสือแบบเรียนกฎหมายรัฐธรรมนูญที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเขียนเอง พิมพ์ครั้งที่ 3 ปี 2530 ในหน้าที่ 275 ย่อหน้าที่ 5 ที่นายวิษณุเขียนระบุว่า “ในบางประเทศที่มีประเพณีในการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมีคำปรารภต้นตัวบทรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ เช่น ประเพณีออกกฎหมายของไทย จะต้องมีคำพระราชปรารภเสมอ แม้จะเป็นเพียงข้อความสั้นๆ”
ดังนั้นจึงต้องการให้ประธาน สปช.ส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ ครม.ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นร่างที่สมบูรณ์หรือไม่ เพื่อป้องกันเกิดปัญหาในอนาคต เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติแล้ว มีบุคคลที่ไม่เห็นด้วยหยิบยกขึ้นมายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้เสียเวลา เสียงบประมาณ และเสียเกียรติของ สปช. ทั้งนี้ ถือว่าทั้งสองคณะกรรมาธิการได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว จากนี้ไปขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของประธาน สปช., ครม. และศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้พิจารณา เพราะหากเกิดอะไรขึ้นก็ต้องตอบสังคมให้ได้
ด้านนายสิระ เจนจาคะ สปช.ด้านสังคม แถลงข่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุให้ สปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญว่า ขอเรียกร้องให้หยุดเคลื่อนไหวต่อต้านคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปประเทศ ยิ่งนักการเมืองออกมาพูดยิ่งแสดงธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวที่พูดเอาแต่ได้ เสียไม่เอา เพราะตนเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์ และนักการเมืองก็ไม่เคยออกมาพูดสิ่งดีๆ ที่ชาวบ้านได้ประโยชน์ในรัฐธรรมนูญ เช่น การเสนอร่างกฎหมาย ประชาชน 1 หมื่นรายชื่อก็สามารถยื่นต่อสภาฯ และสภาฯ จะต้องรับพิจารณาภายใน 180 วัน มีการตรวจสอบภาคประชาชนที่เข้มข้นขึ้น ประชาชนสามารถตรวจสอบงบประมาณแผ่นดินและนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ
“โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ คุณไม่มีสิทธิ์สอน สปช. เพราะที่พวกเราร่วมกันทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพราะพวกอดีตนักการเมือง มีส่วนสำคัญทำบ้านเมืองเสียหายมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นผมเชื่อว่า สปช.มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจในการโหวตรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยที่คุณอภิสิทธิ์ไม่ต้องมาบอก” นายสิระกล่าว
นายสิระกล่าวว่า ประชาชนสามารถตรวจสอบนักการเมืองง่าย เพราะมีกลไกที่ป้องกันไม่ให้เข้ามาสร้างความเสียหาย แตกแยก และป้องกันไม่ให้ออกมาหลอกให้ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตาย เพราะหลงเชื่อนักการเมือง ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่บรรดานักการเมืองจะต้องเสียสละเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป
“พวกคุณจะกลัวอะไร ถ้าคุณเข้ามาอย่างบริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องไปกังวลระบบการตรวจสอบ รวมถึงอำนาจของกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) หรือเพราะที่ออกมาต่อต้านเพราะไม่มั่นใจว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหายอย่างที่แล้วมาอีกหรือไม่” นายสิระกล่าว
เมื่อถามว่า อดีตนักการเมืองไม่มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ ใช่หรือไม่ นายสิระกล่าวว่า นักการเมืองเหล่านี้มีอำนาจที่จะแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญเพียงแค่ออกเสียงหนึ่งเสียงในการประชามติเท่านั้น และนักการเมืองอย่ามาอ้างว่ายึดโยงประชาชน เพราะที่ผ่านมาการยึดโยงประชาขนทำให้ประเทศเสียหายและประชาชนบาดเจ็บ เสียชีวิต คนพวกนี้ควรที่จะเตรียมตัวย้ายบ้านไปอยู่เรือนจำตามคดีที่ติดตัวมากมายไม่ว่าจะเป็นคดีทุจริตคอร์รัปชัน
นายสิระยังกล่าวว่า ตนยืนยันว่าทางตนและหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ เห็นด้วยกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ เพราะถือเป็นกลไกที่เข้ามาเสริมการแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ดังนั้น นักการเมืองที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายก็ไม่จำเป็นที่ต้องเดือดร้อนอะไร