รอง ปธ. มูลนิธิมวลมหา ปชช. แนะ อย่าคิดมากคำวิจารณ์เปิดมูลนิธิ แจง ตั้งมานานแล้วทำตาม กม. ไม่มีแอบแฝง ย้ำ จุดยืนปฏิรูปอย่าทำเสียของ อย่ารีบเลือกตั้งสนองนักการเมือง จี้ ทำ กม. ให้สังคมเห็นคุมคนชั่วได้ถึงใช้สิทธิ ย้อนตอนชุมนุมเห็นวัฒนธรรมดีงามหลายอย่าง ยกเป็นการปฏิรูปที่ยิงใหญ่ เล็งเปิดเว็บให้สมัครมูลนิธิ พร้อมกำหนดบริจาครายได้
วันนี้ (31 ก.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย รองประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ ถึงการแถลงข่าวการจัดตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ ว่า อย่าไปวิเคราะห์หรือคิดมาก เพราะคำวิจารณ์มาจากต่างคนต่างก็มองจากจุดที่ตัวเองยืน ซึ่งตัวมูลนิธิไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพียงวันสองวัน หรือตั้งจากการแถลงข่าวของนายสุเทพเท่านั้น แต่ตั้งมาเกือบจะครบปีแล้ว ซึ่งกิจกรรมของมูลนิธิก็ได้ทำไปแล้วหลายส่วน เช่น การดูแลผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนระหว่างปี 2556 - 2557 รวมถึงการช่วยเหลือในการต่อสู้ของผู้ต้องคดีในช่วงเวลาดังกล่าวอีกด้วย โดยทางมูลนิธิได้เข้ามาดูแลเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งได้ร่วมมือกับทางสวนโมกขพลาราม และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดโครงการอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาถึงรุ่นที่ 9 แล้ว และมูลนิธิก็จดแจ้งตามกฎหมายทุกประการ เพราะฉะนั้น ทางมูลนิธิก็ปฏิบัติตามกฎหมายโดยที่ไม่มีอะไรแอบแฝง
นายวิทยา กล่าวต่อว่า จุดยืนการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น ตนได้พูดมาก่อนที่จะมีการปฏิวัติ ในปี 2557 ซึ่งจุดยืนของตนยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เท่าที่ตนฟังจากประชาชนแล้ว เห็นว่า ประชาชนไม่ต้องการให้เสียของ ไม่ใช่ต้องการให้รีบจัดการเลือกตั้ง เพื่อสนองอารมณ์นักการเมืองที่ว่างงาน แล้วมาซื้อเสียงและมาโกงกันอีก ซึ่งจะทำให้การต่อสู้ของประชาชน และการปฏิวัติเสียของเปล่า ๆ ดังนั้น ตนยังยืนยันเช่นเดิม ว่า การปฏิรูปประเทศถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะฉะนั้น ในช่วงระยะเวลานี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำมากกว่าการจัดทำข้อกฎหมาย ก็คือ การจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด การสอนให้ประชาชนอยู่ในระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย และพร้อมที่จะพิทักษ์สิทธิของตัวเองไม่ให้ถูกละเมิด การบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนและข้าราชการอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเมื่อวันหนึ่งประชาชนมีความเห็นว่า สังคมเราเริ่มมีทิศทางในการควบคุมคนชั่วได้ ก็จะเริ่มต้นนำประชาชนสู่การเลือกตั้งใหม่ ที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบได้
“ในขณะที่การต่อสู้ของประชาชน 200 กว่าวันนั้น ผมเห็นวัฒนธรรมใหม่ที่ดีงามของประชาชนที่เกิดขึ้นได้ เช่น จิตใจที่เสียสละของคนกรุงเทพฯ ที่ลุกขึ้นตอนตี 2 ตี 3 ไปจ่ายตลาด เพื่อมาทำอาหารเลี้ยงผู้ชุมนุม ตอนตี 4 ตี 5 เห็นความมีวินัยของมวลมหาประชาชน ที่ไม่เบียดเสียดกันจนบาดเจ็บกันเอง การเข้าแถวอย่างมีระเบียบวินัย ไม่มีการแย่งชิงของบริจาค ที่มีประชาชนบริจาคมาให้ และผู้ชุมนุมต่างก็มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ในจิตใจของมวลมหาประชาชน” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ มูลนิธิกำลังคิดรูปแบบการสมัครให้ประชาชน เป็นเจ้าของมูลนิธิได้ โดยจะเปิดเว็บไซต์ให้ประชาชนสมัครเข้ามา ตามหลักเกณฑ์ที่ได้แถลงไปแล้วว่า ทุกคนต้องร่วมบริจาครายได้ของตนเองปีละ 1 วัน เข้ามูลนิธิ นอกจากนี้ การดำเนินการของมูลนิธิเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้น ขออย่ามีท่าทีระแวงในการดำเนินงานของมูลนิธิ ตามที่หลายคนตั้งข้อสังเกต เพราะถ้ามูลนิธิทำอะไรไม่ดี หรือมีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงแล้ว ความเสื่อมก็จะเกิดขึ้นมาเอง