ผ่าประเด็นร้อน
น่าจับตาทีเดียวสำหรับบทบาทล่าสุดของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิ กปปส. ที่มีการแถลงออกมากันแบบทั่วไป คือ 1. สนับสนุนการศึกษาวิจัย สัมมนา หรือการประชุม รวบรวมความรู้ ความคิดเห็นในรูปแบบต่างเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 2. ติดตามศึกษารวบรวมและวิเคราะห์รายงานข้อมูลและสถานะของประเทศเป็นระยะ 3. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น ๆ และ 4. ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง
แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ก็คือ คำพูดของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นอดีตเลขาธิการ กปปส. ที่ปัจจุบันเปลี่ยนบทบาทมาเป็นประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ ที่กล่าวว่า “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หากต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเราจะทำ เช่น ต่างประเทศ หรือองค์กรต่าง ๆ ที่ไม่เข้าใจคนไทย สภาพของประเทศไทย เราก็จะส่งคนของเราไปชี้แจง หากประเทศใดเข้าใจผิด ตัดสินใจใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เราจะส่งตัวแทนไปอธิบายกับรัฐบาล กับสภา และสื่อมวลชนของประเทศนั้น เราไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับใครทั้งสิ้น แต่เรารักประเทศของเรา”
“มูลนิธิจะเป็นศูนย์รวมในการรวบรวมข้อเสนอแนะแนวทางสร้างสรรค์เพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยเปิดให้ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็น โดยเราจะใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เปิดเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ อีเมล ทุกวันนี้เราไม่สามารถเปิดเวทีพูดคุย ไม่ต้องการเป็นอภิสิทธิ์ชน เพราะจะไปสร้างความวุ่นวายให้ คสช. เราพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่ง คสช. ที่เป็นกฎหมาย ใครจะมาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ เราอยู่ในประเทศนี้ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายประเทศนี้ เราไม่ต้องการให้ใครกล่าวหาว่า คสช. สองมาตรฐาน ยืนยันว่า เราไม่มีผลประโยชน์ในทางการเมือง”
หากมองในภาพรวม ๆ ก็พอหลับตานึกภาพก็จะเห็นว่ามูลนิธิดังกล่าวมีการเปิดกว้างสำหรับการรับสมาชิกใหม่เข้ามาร่วม ไม่มีการจำกัดว่าจะต้องเคยเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองใดมาหรือไม่ มีเป้าหมายสำคัญก็คือ ต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง และไม่มีการกำหนดกรอบเวลาว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ โดยเฉพาะไม่มีการกดดันรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกด้วย ขณะเดียวกัน ยังเป็นมองเห็นว่าการออกมาแสดงบทบาทล่าสุดของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ครั้งนี้เหมือนกับ “เกื้อหนุน” กันกลาย ๆ อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง ก็คือ การที่ประกาศว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่นคือ ยืนยันว่า จะไม่กลับไปเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป ไม่ลงเลือกตั้งเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่สำหรับบรรดาอดีตแกนน ำกปปส. และกรรมการบริหารมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯยังไม่ได้ประกาศแบบนั้น แต่แบะท่าว่าจะกลับไปลงเลือกตั้งอีก แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าจะสังกัดพรรคเดิม คือ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ตาม แต่พิจารณาจากอาการแล้ว ก็ยังเชื่อว่าส่วนใหญ่ หรือแทบทั้งหมดจะต้องลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน
สำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั้น หากพิจารณาจากความสัมพันธ์ในอดีตต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับบรรดาผู้นำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมานานจน สุเทพ เคยหลุดปากกลางงานเลี้ยงหลังการรัฐประหารของ คสช. ไม่นานในทำนองว่า “มีการติดต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์ ”มาตลอด
นั่นเป็นความสัมพันธ์ที่มีในทางบวกมาตลอด และตลอดจนกระทั่งบวชเป็นพระสุเทพ ปภากโร ตลอดในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา หากพิจารณาตามความเป็นจริง ก็ต้องบอกว่ามีบทบาทเกื้อหนุนการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล ะคสช. มาอย่างต่อเนื่อง ที่เห็นชัดก็คือ การขอร้องให้ชาวสวนยางภาคใต้ให้โอกาสและเห็นใจรัฐบาลในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ และคราวนี้เมื่อลาสิกขาบทออกมาในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มซวนเซ สถานะของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังไม่มั่นคงไม่อาจเพิ่มความศรัทธาจากสังคมได้ตามที่คาดหมายเอาหมาย ที่สำคัญ สังคมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าในด้านปฏิรูปของรัฐบาลดังขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น หากพิจารณาโดยรวม ๆ แม้ว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ และคณะ กปปส. จะออกมาย้ำจุดยืนว่าต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง และประกาศว่า จะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของ คสช. แต่การปฏิรูปที่จะเกิดขึ้นเมื่อใด ก็จะไม่มีการเร่งรัด มองอีกมุมหนึ่งเหมือนกับว่า เป็นการ “เปิดทาง” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยืดเวลาอยู่ต่อไป เพียงแต่ว่าต้องมีภารกิจปฏิรูป ซึ่งอาจจะผ่านทางการยกร่างรัฐธรรมนูญและสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งก็ไม่ได้ระบุตายตัวว่าจะเป็นชุดปัจจุบันอาจจะเป็น “ชุดใหม่” ก็ได้ ซึ่งบทบาทแบบนี้แหละถือว่าต้องจับตามองกันต่อไป ว่าแบ็กอัพใครหรือเปล่า !!