นายกฯ เยี่ยมโรงเรียนกำเนิดวิทย์ มอบนโยบาย สร้างความเชื่อใจระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน ชูอนาคตชาติพัฒนาเป็นครัวโลก ชมเป็นสถานศึกษาแนวใหม่ อย่าลืมนำประวัติศาสตร์เป็นบทเรียน ยันประชาธิปไตยไม่ใช่ความขัดแย้ง เห็นต่างแต่ต้องอยู่ในกรอบ ขอทุกฝ่ายอดทน ลั่นใครเป็นหนี้ต้องใช้ ยันเท่าเทียมกันบนโลกนี้ไม่มีจริง โวไม่ใช้กฎหมายรังแกคนจน แต่เน้นความสงบสุข อย่าให้คนเลวมีอำนาจ หนุนศูนย์ปราชญ์ชุมชน ก่อนร่วมร้องเพลงสามัคคีชุมนุม
วันนี้ (20 ก.ค.) ที่ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เมื่อเวลา 13.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมโรงเรียนกำเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยศิริเมธี ต.ป่ายุบใน โดยพบปะกับผู้บริหารโรงเรียน คณาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ทั้งนี้ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธีเน้นการเรียนการสอน และการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพระดับโลกขึ้นในประเทศไทย เป็นโรงเรียนประจำ เน้นการพัฒนาศักยภาพรายบุคคล สำหรับสถาบันวิทยสิริเมธี รับนักศึกษาระดับปริญญาโท และเอก ส่งเสริมงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับแนวหน้า เน้นการนำผลมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งวันที่ 6 ส.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยศิริเมธี อย่างเป็นทางการ
นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายอีกว่า ต้องทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน กำหนดอนาคตของประเทศให้ชัดเจน เช่น การมุ่งพัฒนา ให้ประเทศเป็นแหล่งอาหารของโลก แต่ต้องเตรียมมาตรการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนสภาพอากาศของโลก เช่น เรื่องของภัยแล้ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการบริหารงานของโรงเรียนกำเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี เป็นสถานศึกษาของการศึกษาแนวใหม่ที่จะช่วยสร้างอนาคตให้แก่ประเทศ ซึ่งไทยพร้อมเป็นมหาอำนาจในอาเซียนด้วยประชาชนที่มีความรู้ ความสามารถ แต่ต้องไม่ลืมประวัติศาสตร์ของตัวเอง เพื่อนำอดีตมาเป็นบทเรียน โดยเรื่องของประชาธิปไตยนั้น ไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เป็นการแสดงความเห็นที่หลากหลาย แต่ต้องขอให้อยู่ในกรอบ เปรียบเหมือนการประชุมที่มีทั้งเห็นชอบและไม่เห็นชอบ ซึ่งคนส่วนใหญ่ต้องเรียนรู้ ว่าแม้จะไม่เห็นชอบ แต่ก็ต้องฟังมติที่ประชุม นอกจากนี้ขอให้ทุกฝ่ายอดทน เพื่อวันหน้าจะได้ เข้มแข็ง และนำไปสู่ประชาธิปไตยในยุคหน้า
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับหนี้ชาวนาขณะนี้มีกว่า 3 แสนล้านบาท ยังไม่รวมครู ข้าราชการ และคนทั่วไป แต่ก็ให้ถือว่าคนเป็นหนี้คือคนที่มีเกียรติ แต่เป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้ รัฐบาลชุดนี้เข้ามาไม่ได้จะยกหนี้ให้ทั้งหมด เป็นหนี้ก็ต้องใช้ ซึ่งก็ต้องหาวิธีการ ที่ผ่านมาเราติดกับดักประชาธิปไตย ติดกับดักแห่งการเรียนรู้ และติดกับดัก ในเรื่องของทรัพยากร ตนไม่ใช่คนเก่ง แต่ขยันอ่านหนังสือที่ต้องพูดมากเพราะจะได้รู้ว่า เราจะทำอย่างไรให้โรดแมปของประเทศเดินหน้าและมีผลสำเร็จ และทำอย่างไร ผลประโยขน์ที่เกิดขึ้นจะไม่มีความเหลื่อมล้ำ ขณะที่ความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันไม่มีจริงบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ คือกฎหมาย ซึ่งทุกประเทศเข้าใจ แต่ประเทศไทยยังไม่เข้าใจ เขาใช้กฎหมายให้เกิดประโยชน์ ประเทศเกิดความสงบสุข ลดความขัดแย้ง แต่ของเรา กลับใช้กฎหมายมาทำให้เกิดความขัดแย้งมีการต่อสู้กัน สุดท้ายผู้ที่พ่ายแพ้คือประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าจะไม่ใช้กฎหมายรังแกคนจน แต่กฎหมายจะใช้เพื่อสร้างความสงบสุขให้ประเทศ ที่สำคัญอย่าให้คนเลวมีอำนาจ ซึ่งพูดแล้วก็อารมณ์เสียเราไม่ใช่ศัตรูกับใคร เป็นมิตรกับทุกประเทศ เพียงแต่ประเทศต่างๆ เขาเลยเวลานี้ไปแล้ว ที่เคยมีความขัดแย้งและคนล้มตาย แต่ของเราไม่ตาย เลยต้องเอาสักหน่อยพอหอมปากหอมคอ แต่ปล่อยต่อไปไม่ได้เพราะเราช้ากว่าประเทศอื่นมานาน วันนี้คนไทยต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ตนเข้ามาไม่ได้ต้องการประโยชน์สักสลึงเดียวประเทศชาติต้องการความสงบ และสำหรับนายกรัฐมนตรีไม่มีท้อแท้ ไม่เหนื่อย ยิ่งมีศัตรู ยิ่งไม่ท้อ
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าได้ด้วยเศรษฐกิจชุมชน โดยรัฐจะใช้การสนับสนุนศูนย์ปราชญ์ชุมชนในพื้นที่ แทนการจัดตั้งศูนย์ใหม่ เพื่อให้ประชาชนได้ช่วยเหลือตัวเอง โดยไม่ต้องรอเงินทุนจากรัฐบาล พัฒนาจากสิ่งที่มีในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก
จากนั้นนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจการการเรียนการสอนของโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ซึ่งมีวิชาการหลักประกอบด้วยนาฏศิลป์และดนตรี ซึ่งนายกฯ ได้ร่วมร้องเพลงสามัคคีชุมนุมร่วมกับนักเรียนที่บรรเลงดนตรีคลาสสิก ทั้งยังได้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ เคมีดูการทดลองและสื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย