ป้อมพระสุเมรุ
เข็มนาฬิกาประวัติศาสตร์การเมืองไทยหมุนครบ 83 ปี การเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่“คณะราษฎร”เข้าเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 “ประชาธิปไตย”ของประเทศไทยไม่เคยจะนิ่ง มีความขัดแย้ง การแย่งชิงอำนาจ อยู่ทุกห้วงเวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จะมีเปลี่ยนแปลงไปก็แค่ “ตัวละคร”ที่เข้ามาแสดงแทนกันในแต่ละยุค-แต่ละสมัย ประวัติศาสตร์การเมืองถูกดัดแปลงให้บิดเบี้ยวไปบ้าง แต่ก็เป็นบทเรียนที่ลูกหลานต้องศึกษากันต่อไป
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475 แทบที่จะไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับ“คณะราษฎร” มีเพียงวิธีการเท่านั้นที่ “คณะราษฎร”อาจจะผิดพลาดไปบ้าง จนบรรดา“ขุนนาง”ไม่พอใจ
เมื่อ“อำนาจ”ไม่ได้อยู่ในมือ“ประชาชน”อย่างแท้จริง แต่เป็น“ชนชั้นนำ”ที่อุปโลกน์ตัวขึ้นมาถือครองอยู่ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีการแย่งชิงกันขึ้นมาเป็นชนชั้นปกครอง ผสมกับบรรดา“ขุนนาง”ที่ยังไม่ยอมเสียอำนาจการปกครองไปง่ายๆ
แม้แต่ยุคทองของ“คณะราษฏร”เอง ที่ผู้ทรงอิทธิพลในขณะนั้นอย่าง“พระยาพหลพลพยุหเสนา - จอมพล ป. พิบูลสงคราม - นายปรีดี พนมยงค์”ที่ร่วมหัวจมท้ายกันมา แต่หลายครั้งที่ต้อง“หักหลัง”กัน จนเกือบจะสิ้นความเป็นพี่น้องพ้องเพื่อน
“พ.ต.พุทธินาท พหลพลพยุทหเสนา”บุตรชายของ“พระยาพหลพลพยุหเสนา”เคยให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า “ทั้งสามคนรักกันมาก แต่พอเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วมีบางคนคอยยุแยงให้ทะเลาะกัน จนบางครั้งต้องหักหาญน้ำใจกัน”
“พระยาพหลฯ โชคดีที่มีท่านปรีดี เป็นเพื่อนแท้ พอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยากให้ท่านปรีดี กลับมาเป็นรัฐมนตรี จึงตั้งคณะกรรมการล้างความผิดข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ เดินทางกลับจากฝรั่งเศส มายังประเทศไทยได้ จึงทำให้บางคนโกรธจัด”
จะเห็นได้ว่า“อำนาจ”ไม่เข้าใครออกใคร เมื่อมี“อำนาจ”ความเป็นพี่น้องพ้องเพื่อนก็ต้องสั่นคลอนลงทันที กว่าจะรู้สึกตัวว่าทำลายความสัมพันธ์พี่น้องก็ต่อเมื่อหมดอำนาจลงแล้ว
เหมือนครั้งที่ “จอมพล ป.”อยู่ในช่วงขาลง ถึงจะมองเห็นว่า“ปรีดี”ไม่ใช่ศัตรู
“ศุขปรีดา พนมยงค์”ลูกชายของ “ปรีดี”เคยให้สัมภาษณ์ว่า "ตอนจอมพล ป. อยู่ในอำนาจก็มีหลายช่วง ช่วงสุดท้าย จอมพล ป. มองเห็นความบริสุทธิ์ของ อ.ปรีดี และเห็นว่านโยบายตามก้นอเมริกา มันไม่ไหว ระยะหลังท่านก็ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับอ.ปรีดี”
" เมื่อกลางปี 2500 ท่านตกลงให้คณะทนายไปพบ อ.ปรีดี เพื่อให้ศาลเปิดคำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต เรื่องใหญ่มากนะ ผมไปรับรองคณะทนาย ที่เดินทางไปเมืองจีน ทนายกลับมาปลายเดือน ส.ค. 2500 พอถึงวันที่ 16 ก.ย. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ทำรัฐประหารด้วยเหตุผลบางอย่าง เหตุผลที่อเมริกาไม่พอใจ จอมพล ป. ไปคบกับจีน เหตุผลที่จะให้ศาลมีคำตัดสินใหม่ เลยต้องรีบทำอะไรเสียก่อน”
จะเห็นได้ว่า “ชนชั้นปกครอง”ของประเทศไทย มีการเดินเกมทางการเมืองถูกบ้าง-ผิดบ้าง มาทุกยุคสมัย ขึ้นอยู่กับว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับ“ประชาชน”มากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง
ซึ่งหากหันกลับมามองความขัดแย้งทางการเมือง ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีความขัดแย้งเกินขึ้นชนิด“ประชาชน”เดือดร้อนกันทุกหัวระแหง เมื่อ“กลุ่มทุนใหม่”ท้าทาย “อำนาจเก่า”ด้วยการมอมเมาประชาชน
แน่นอนว่า"นช.แม้ว " ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวแทนของ“กลุ่มทุนใหม่”ที่พร้อมจะจ่ายหนัก จัดเต็ม ให้กับทุกคนที่ยึดโยงกับ“แผงอำนาจ” ของประเทศไทย แต่“นช.แม้ว”ลืมคิดไปว่าพลังของประชาชนจะหวนกลับมาทำร้ายเอาได้
“นช.แม้ว”ขึ้นเป็นผู้นำประเทศด้วยนโยบายประชานิยม แม้ที่มาจะถูกต้องตามครรลองของ“ประชาธิปไตย”แต่หากปล่อยให้ “นช.แม้ว”มอมเมาประชาชนต่อไป “ประเทศไทย”ก็จะต้องพังทลายได้
ปัญหาของประเทศไทยในยามนี้ มีโจทย์ใหญ่อยู่ที่ทำอย่างไรให้“ประชาธิปไตย”เป็น“ประชาธิปไตย”แบบสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือของบางฝ่ายที่นำไปกล่าวอ้าง เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง
และหาก"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยามนี้ถืออำนาจอยู่เต็มมือ ไม่สามารถหาทางที่จะให้“ประชาชน”หันหน้ามาปรองดองรักใคร่กัน ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
การ“รัฐประหาร”ครั้งที่ 13 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 อาจจะ“เสียของ”เหมือนที่หลายฝ่ายได้ปรามาสไว้
บทเรียน 83 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง แทบจะฟันธงได้เลยว่า“อีกนาน”กว่าที่ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตราบใดที่ “การเมือง”ยังไม่มีจิตอาสาที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ
อีกทั้งการเมืองไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตย หลีกหนีไม่พ้น“พงศาวดารกระซิบ”ที่นำมากล่าวอ้างกัน เพื่อค้ำยันอำนาจของตัวเอง