“ประยุทธ์” แจงใช้ ม.44 ย้ายข้าราชการยังไม่ถือว่าผิด ยัน “ดาวดิน” มีคนชักใย ให้โอกาสหลายรอบไม่เลิก ไม่กังวลเดินประท้วงเพราะมีคนค้านแยะ หวั่นยั่วยุถูกทำร้าย ขออย่าเปรียบนักศึกษากับเหตุในอดีต อย่าขยายความแอมเนสตี้กระทบชาติ ฉะพวกติหวังล้มไม่ได้เพื่อก่อ ขอให้สร้างความเข้าใจปฏิรูป ตอบแทนคุณแผ่นดิน รับติดดินระเบียบจัด ขอสื่อแจงสิ่งที่รัฐบาลทำ-วิจารณ์มีข้อมูล
วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงกรณีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ด้วยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ระบุให้มีการโยกย้ายและยุติการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ 71 คนว่า เรายังไม่ถือว่าทั้งหมดมีความผิด เพราะเป็นการรวบรวมรายชื่อที่มีการร้องเรียนอยู่ในกระบวนการตรวจสอบทั้งหมด ถ้าเรื่องไหนที่สำคัญมากๆ หรือเป็นปัญหาใหญ่นั้นก็จำเป็นต้องรื้อตำแหน่งระดับสูงให้ขยับออกมาก่อนเพื่อให้เกิดการสอบสวน หาพยานหลักฐานในเชิงประจักษ์ให้ได้ แต่ถ้าไม่ผิดก็กลับมาที่เดิม เพราะตนไม่ได้ตั้งใครแทน เป็นการรักษาราชการ โดยผู้อาวุโสในแต่ละหน่วยงานตั้งขึ้นมาตามระเบียบอยู่แล้ว
“อย่าเพิ่งไปกล่าวหาว่าเขาอะไรเลย มันจะเสียหาย ผมเคยบอกแล้วว่าทำอะไรก็ตาม มันจะเสื่อมเสียถึงครอบครัว วงศ์ตระกูล ลูกหลานของเขาที่เป็นคนบริสุทธิ์ ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปตำหนิเขาขนาดนั้น ผมให้ความเป็นธรรมทุกคนแล้วนะเนี่ย อย่าให้ต้องใช้อำนาจอย่างเดียวเลยในการลงโทษ เพราะมันจะไม่มีวันจบสิ้น ต้องใช้กระบวนการยุติธรรมดีกว่า” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาดาวดินที่ระบุว่ามีกลุ่มคนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวดังกล่าวว่า การเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ว่ากันไป แต่ยืนยันว่ามีกลุ่มคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน ไปหาดูได้ในสื่อโซเชียลฯ เมื่อถามว่า พร้อมที่จะเอาผิดกับตัวนักศึกษาด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาผิดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่ยอมรับว่าก็เป็นห่วงในเรื่องการศึกษาของเด็กเหล่านั้น แต่ขอถามกลับว่าพวกเขาห่วงบ้านเมืองกันหรือไม่ เมื่อถามต่อว่า กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นนักการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไปหาดู ไปหาในเว็บไซต์ ตนเห็นมีในเว็บไซต์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางกลับกันทำไมฝ่ายรัฐไม่มองว่านักศึกษาเคลื่อนไหวด้วยความบริสุทธิ์ใจ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์โกรธว่า “บริสุทธิ์ใจอย่างไร สื่อไม่ต้องมาพูดแบบนี้ ที่เห็นสื่อก็ไปคุยมาจากทั้งสองฝั่งอยู่แล้ว ฉันก็เห็นอยู่มีรูปขึ้นไปหาคนนั้นคนนี้ วันนี้สื่อควรจะต้องทำข่าวเพื่อให้ทุกคนกลับมาอยู่ที่จุดศูนย์กลางคือประเทศ เข้าใจกันหรือไม่ว่าในเมื่อวันนี้ผมเข้ามาทำงานอยู่แล้วจะมาต่อต้านผมในขณะที่ผมทำความเลวหรือเปล่า เหมือนกับว่าถ้าผมไม่ได้ทำความผิดตรงนี้ก็ทำผิดตรงโน้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีจบ เหมือนกับนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ซึ่งมันไม่ใช่ ต้องดูว่าปัญหาอยู่ตรงไหนและใครมีส่วนร่วมบ้าง ในส่วนของนักศึกษาผมให้เกียรติและเครดิตมาโดยตลอด ทั้งครูและอาจารย์ก็เช่นกัน จะเห็นว่าผมให้โอกาสก็แล้ว เรียกมาพบก็แล้วพอคุยกันก็หาว่าไปปิดกั้น ถ้าไม่คุยกันแล้วมันจะรู้เรื่องหรือไม่ แต่คุยแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง แสดงว่ามันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังก็ต้องไปหากันมา ซึ่ง คสช.กำลังดูอยู่ ทำไมสื่อเป็นห่วงกันมากหรือ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้สื่อข่าวได้ชี้แจงถึงการทำหน้าที่ว่านักข่าวต้องทำข่าวทั้งสองทางเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แล้วทำไมนายกฯ ไม่มองว่าอาจเป็นธรรมชาติของนักศึกษาในช่วงที่มีการทำรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีธรรมชาติในโลกนี้ เมืองนี้ และบ้านนี้มันอยู่ด้วยธรรมชาติไม่ได้ อันนั้นมันเป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีอารยธรรมแล้วและอยู่ได้ด้วยกฎหมาย วันนี้กฎหมายคืออะไร ตนเป็นผู้รักษากฎตรงนี้แล้วเมื่อมาต่อต้านคนรักษากฎตรงนี้มันจะได้หรือไม่ มันไม่ใช่กระบวนการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ถ้าเป็นรัฐบาลปกติจะทำอะไรก็เชิญ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำให้คนบาดเจ็บเสียหาย เกิดความรุนแรง วันนี้จะเอาเสรีภาพทุกอย่าง วันนี้บ้านเมืองกำลังแย่อยู่ เพียงแต่หลายอย่างเริ่มจะดีขึ้น ก็จะมาบอกว่าพอแล้ว มันก็จะกลับมาสู่ที่เก่าอีก หรือใครคิดว่ามันจะไม่กลับมา
“ที่ผมไม่อยากพูดและไม่อยากตอบคำถามเพราะจะทำให้หงุดหงิดอีก เนื่องจากการพูดและถามแบบนี้ไม่ได้อยู่แค่ประเทศไทย แต่ไปถึงต่างชาติ ลองเปิดหนังสือพิมพ์ต่างประเทศดู มีข่าวในประเทศเขาเพียงไม่กี่หน้า ไปดูทุกสื่อ ทุกเครือข่าย ผมไม่ได้ไปทะเลาะกับ บก. หรือทะเลาะกับรีไรเตอร์ ผมไม่ได้พูดถึงทุกคน ผมพูดถึงบางคนและไม่ได้เหมาว่าเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นฉบับนี้เพราะคนดีก็มีเยอะ คนที่เข้าใจผมก็มีจำนวนมาก ลองไปเปิดหนังสือพิมพ์ของท่านดูก็ได้ มีทั้งดีและไม่ดี ที่ไม่ดีก็น่าจะเห็นว่าประชาชนและข้าราชการส่วนใหญ่เขาเห็นว่ามันดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นส่วนที่เขาทำงานร่วมกับข้าราชการการเมืองมาโดยตลอด วันนี้ที่ผมเข้ามาแก้เขาก็บอกว่ามันดีขึ้น แต่ไอ้คนที่ติมันไม่ได้ติเพื่อก่อ แต่ล้มตั้งแต่ต้นและพยายามเอากติกาของประชาธิปไตยปกติมาบังคับผม มันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่เข้ามา ผมจะเข้ามาทำไม เข้ามาให้มันเปลืองตัว เปลืองเวลาทำไม วันนี้ขอให้นึกถึงประเทศชาติกันก่อนว่าต่างชาติเขาจะคิดอย่างไร อย่ามาพูดว่าเราอยู่ได้ มันไม่ได้ วันนี้ก็เห็นอยู่ว่าการค้าการลงทุน รายได้จีดีพีมาจากการส่งออกทั้งสิ้น เราต้องทำให้ประเทศมีศักดิ์ศรีเพื่อทำการค้ากับต่างประเทศได้ ช่วงนี้ต้องสร้างความเข้าใจว่าเราจำเป็นต้องทำการปฏิรูปสิ่งที่มันไม่ดีให้หมดไปเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้คนไทยและมิตรประเทศที่เป็นเพื่อนเรา ผมขอร้องแค่นี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า นอกจากการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว จะต้องให้ทางอาจารย์และมหาวิทยาลัยมาดูแลในส่วนของนักศึกษาด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ต้องดู ที่ผ่านมาก็ขอความร่วมมือไปแล้ว ทุกมหาวิทยาลัย แต่ก็มีคนคิดอย่างนี้บ้างเป็นธรรมดา จะให้คิดเหมือนเราทั้งหมดคงไม่ได้ แต่ต้องให้รู้ว่าจังหวะและเวลามันควรจะเป็นเมื่อไหร่ การเคลื่อนไหวต่างๆ ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติไม่มีใครเขาห้าม รัฐธรรมนูญก็เปิดโอกาส เพียงแต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ถ้าประท้วงแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ลำบาก
“เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.) ที่ผมไม่กังวลที่เขาไปเดินๆ กันอยู่ก็เพราะคนเขาก็ด่าเยอะนะ เปิดกระจกไปด่าก็มีมาก แล้วถ้าเกิดนักศึกษาเขาเจ็บเนื้อเจ็บตัวขึ้นมาก็กลับมาที่เจ้าหน้าที่รัฐอีกหาว่าไม่ดูแลกัน เป็นสิ่งที่พ่อแม่เองก็ต้องดูลูก ผมเห็นหน้าตาแต่ละคนแล้วอายุเยอะเหมือนกัน ไม่รู้เรียนกันอย่างไร” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ส่วนหนึ่งเป็นการยั่วยุให้ฝ่ายรัฐมาใช้อำนาจใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยอมรับว่า “ก็เป็นการยั่วยุอย่างไรเล่า ยั่วยุให้สื่อออกมาพูด และผมก็ไม่กลัวว่าจะมีกลุ่มอื่นออกมา ถ้ากลัวไม่ออกมายืนตรงนี้ ซึ่งพูดมาแล้วครั้งและเป็นห่วงว่าเกรงจะมีคนออกมาใช้ความรุนแรงจะด่าแล้วเด็กๆ จะทำอย่างไร ถ้าเดินกันไปเรื่อยๆ แล้วมีคนมาทำร้ายแล้วจะทำอย่างไร เพราะทุกคนเขาเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้และอยากให้รัฐบาลปัจจุบันแก้ปัญหาให้ได้ รวมทั้งการวางพื้นฐานต่างๆ ทั้งปัญหาเรื่องของน้ำ เรื่องความเหลื่อมล้ำ ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การสาธารณูปโภคพื้นฐาน การค้าการลงทุน นี่คือกฎเกณฑ์ของสังคมโลกปัจจุบัน ซึ่งเขากดดันทุกประเทศแบบนี้แล้วทำไมเราไม่ใช้โอกาสและวิกฤตวันนี้มาเป็นโอกาส ผมเป็นคนสร้างวิกฤตของผมเอง คนอื่นไม่มาเดือดร้อนกับผมเท่าไหร่ แต่วิกฤตอยู่กับผม ครอบครัว แล้วทำไมไม่เอาวิกฤตที่ผมเอาตัวเข้ามาตรงนี้ทำให้ประเทศเดินหน้า เดี๋ยวผมก็ไป ผมจะอยู่นานอะไรหนักหนา มันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีองค์กรนิรโทษกรรมสากล (แอมเนสตี้) ประจำประเทศไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลถอนหมายจับกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ว่าไป ตนเห็นแล้ว ก็อย่าไปขยาย มันไม่ใช่ทั้งประเทศ แต่ตนเปิดดูในสื่อบางสื่อ แทนที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เป็นเรื่องเฉพาะกรณี มันไม่ใช่ทุกกรณีนี่ ไม่ใช่ไปเผยแพร่ว่าประเทศไทยนั้นถูกละเมิดทั้งหมดในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมามีกี่ราย ถ้าสื่อไปเสนอแบบนี้ ตนไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเสียหาย เพราะมันเสียอยู่แล้ว แต่ที่เสียคือประเทศ ไม่ใช่ว่าเป็นฐานันดรที่ 4 จะต้องเสนอแต่ข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้น ตนถามว่าข้อเท็จจริงที่ว่านั้นทำลายประเทศในภาพรวมหรือไม่ แต่ถ้าวิจารณ์ว่าตนจะต้องแก้ไขตรงไหนนั้นรับได้หมด และวันนี้ก็ทำอย่างนั้น ที่ถูกติ ถูกด่า ตนก็นำกลับมาสร้างความรับรู้ใหม่ เพราะแสดงว่าเกิดความไม่เข้าใจ ตนทำอย่างนี้ ไม่ใช่เอาแต่ตัวตนบังคับให้คนคิดตาม แต่ถามว่าที่คิดนั้นผิดไหม ส่วนวิธีการทำอย่างไร เมื่อไหร่ โดยใครนั้นต้องมีระบบทั้งสิ้น ก่อนเป็นแผนส่งรัฐบาลหน้าแล้วมันต้องปฏิรูปหรือไม่ ถ้าไม่ปฏิรูปก็เลิกไป จบ ตนจบหน้าที่เท่านี้ ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินได้เท่านี้ ฉะนั้นทุกควรคิดบ้างว่าตอบแทนบุญคุณแผ่นดินนี้หรือยัง นอกจากงานในหน้าที่ ผลประโยชน์ในหน้าที่การงาน ท่านตอบแทนโดยไม่หวังผลประโยชน์หรือยัง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าเป็นนายกฯ แล้วจะเหนือกว่าท่าน ตนเป็นคนติดดินธรรมดาที่โตขึ้นในระบบราชการ ฉะนั้นอาจจะมีความเป็นระเบียบมากหน่อย แต่ความเป็นระเบียบนั้นก็ทำให้สังคมเข้มแข็งและสงบ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่ทั่วถึงเป็นธรรม แต่ถ้าทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม ใช้แรงกดดันเข้ามา สิ่งที่เราจะแก้นั้นไม่สามารถทำได้เลย เพราะมันเกิดมาตลอด ถามว่าชอบให้บ้านเมืองเป็นเหมือนก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หรือไม่ ใครชอบบ้าง หรืออยากให้มันเกิดเพราะจะได้มีข่าวทุกวัน ตนคิดว่าทุกคนไม่คิดอย่างนั้น แต่ต้องช่วยตนว่าจะทำอย่างไร โดยส่วนหนึ่งนำเสนอข้อเท็จจริง วิพากษ์วิจารณ์ เสนอแนะ แต่ไม่ใช่ทำลายตน อีกส่วนคือสร้างความเข้าใจให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สิ่งเหล่านี้สื่อมวลชนไปคิดเอาว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ใช่ทำหน้าเดียว คือนำเสนอข้อเท็จจริง ตนไม่ปฏิเสธ ไม่ห้ามในข้อนี้ แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงในเชิงประจักษ์ ไม่ใช่บอกเล่ากันมา หรืออนุมานมาแต่ละวัน มันไม่ใช่ ท่านต้องนำข้อมูลมาเปรียบเทียบ
“สื่อต้องเรียนรู้ผม เหมือนกับผมเรียนรู้ตอนอยู่กับท่าน ท่านบอกให้ผมเรียนรู้ ผมก็ทำมาแล้ว ในบางครั้งผมก็ต้องสอนแนะนำบ้างเป็นเรื่องธรรมดา หรือจะให้เงียบๆ ผมทำไม่เป็น เพราะวันนี้มันต้องเป็นแบบนี้ ใครจะคิดไม่คิดผมไม่รู้ สิ่งที่ขอร้องสื่อคือ 1.ช่วยสร้างการรับรู้ให้ผมหน่อย ในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ ผมหรือข้าราชการไม่สามารถทำแต่ฝ่ายเดียวได้ 2. ท่านจะเสนอแนะ วิพากษ์วิจารณ์ กรุณามีข้อมูล หากสงสัยก็มาถามก่อน จะได้เขียนให้เข้าใจกัน ที่ผ่านมาผมเรียกมาหลายคนแล้ว เชิญมา ไม่ว่าจะเป็นคนที่วิจารณ์เรื่องน้ำ นักวิชาการ หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เชิญมาพบก็มาบอกว่าขอโทษครับตรงนี้ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ฟังมาก่อนก็เลยเป็นห่วง มันไม่ใช่ เพราะความเข้าใจ สื่อก็ต้องช่วยกันสร้างตรงนี้ ความขัดแย้งและแรงกระทบต่อกันก็จะลดลง”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ขอร้องประชาชนให้ช่วยกันดูแลเด็กๆ นักศึกษา ไม่ใช่จะย้อนไปแต่เหตุการณ์เก่าๆ ในปี 2516 ปี 2535 มันคนละสถานการณ์ ไม่เหมือนกัน วันนั้นสถานการณ์ต่างประเทศเป็นอย่างไร เขายุ่งกับเรามากหรือไม่ เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้หรือไม่ รวมถึงการเจริญเติบโตของประชาคมโลกมันเกิดขึ้นหรือเปล่า อย่าเอาวันนั้นมาเป็นวันนี้ ประวัติศาสตร์คือบทเรียน และปัจจุบันคืออนาคต ถ้าเราทำอะไรไม่ดี นั่นคืออนาคตของประเทศไทยทั้งสิ้น จำคำพูดของตนเอาไว้ ทุกคนคิดเป็นและเก่งกว่าตนทุกคนทั้งสื่อและครูอาจารย์ ท่านกำลังกำหนดอนาคตของประเทศว่าจะดีหรือร้าย ถ้าแตกแยกกันอีกนั่นคือล้มเหลว วันนี้เราผ่านพ้นเวลาที่จะเป็นรัฐล้มเหลวมาแล้ว ต้องสร้างประเทศให้เข้มแข็งตอนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นรัฐล้มเหลวเมื่อมีประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ และต้องใช้วิธีการคัดเลือกนักการเมืองที่เหมาะสม มีคนดีอยู่เยอะแยะไป ตนไม่เคยรังเกียจนักการเมือง แต่จะรังเกียจคนที่ทำไม่ดี ตลอดชีวิตตนพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ประพฤติตัวไปในทางที่ต่ำ มนุษย์คนไทยทุกคนควรต้องเป็นอย่างนั้น
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ได้ใช้อำนาจเด็ดขาด หากใช้แล้วสื่อไม่สามารถมาถามอย่างนี้ได้ ตนก็พูดโดยใช้ช่องทางของตัวเองทุกวัน แต่ทุกอย่างเหมือนเดิมหมดแล้วทำไมไม่พูดถึงสิ่งที่ดีที่ตนให้ แต่สำหรับบางพวกบางกลุ่มนั้นจำเป็น เพราะมันขัดแย้งกับการทำงานของตน ในสถานการณ์เช่นนี้ที่คอขาดบาดตายกับประเทศมันไม่ได้ ถ้าเวลาปกติ ท่านจะทำอะไรก็ทำ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายเท่านั้นเอง ตรงนี้เป็นการทำความเข้าใจและขอร้องกัน ตนไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับท่าน
“ท่านมาบอกผมว่าอันไหนไม่ตอบก็ได้ แล้วท่านทำไมไม่คิดว่าวันนี้เราจะไม่ถามเรื่องนี้ เคยคุยกันบ้างไหม ผมจะดูตั้งแต่วันนี้ ถ้าถามซ้ำแล้วผมอธิบายเรื่องนู้นเรื่องนี้ แล้วกลับมาถามใหม่เรื่องเดิม มีเรื่อง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์