“ปานเทพ” เผย ป.ป.ช.มีมติให้อัยการสูงสุด เป็นทนายแก้ต่างคดีอดีต รมต.เพื่อไทยฟ้องอาญาปมจ่ายเงินเยียวยาผู้ชุมนุมปี 48-53 เตือน “ยิ่งลักษณ์-ครม.” ให้มารับทราบข้อกล่าวหาภายใน 30 มิ.ย. ขณะเดียวกัน หนุน ครม.ยกระดับ ป.ป.ท.เป็นหน่วยงานอิสระ ขึ้นตรงนายกฯ ปราบข้าราชการทุจริต
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) กล่าวถึงอดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ยื่นฟ้องอาญานายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีจ่ายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมระหว่างปี 2548-2553 พร้อมคณะอนุกรรมการรวม 11 คน ว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช.ประสานงานไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ทราบและขอให้เป็นทนายความแก้ต่างให้กับ ป.ป.ช.ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการอย่างถูกต้องแล้วโดนฟ้องจะสามารถให้อัยการสูงสุดเป็นทนายความแก้ต่างให้ได้
โดยในวันที่ 13 ส.ค.ทางศาลอาญาได้นัดไต่สวนมูลฟ้องเป็นครั้งแรก ดังนั้น ทาง ป.ป.ช.จึงต้องเตรียมพยานหลักฐานต่างๆ เอาไว้เพื่อชี้แจงในแง่ข้อกฎหมาย เนื่องจากเรื่องนี้ไม่มีพยานรองรับ ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ ที่ ป.ป.ช.จะนำไปชี้แจงต่อศาลนั้นล้วนเป็นประเด็นที่คณะอนุกรรมการได้ดำเนินการไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาในกรณีดังกล่าวมาแล้วทั้งสิ้นเพื่อยืนยันว่า ตามที่ ป.ป.ช.ได้กล่าวหากรณีจ่ายเยียวยาครั้งนั้นของ ครม.ดำเนินการไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับ
นายปานเทพกล่าวว่า ทั้งนี้ ในวันที่ 30 มิ.ย.จะเป็นวันครบกำหนดที่ผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าวจะต้องเข้ารับทราบและแก้ข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ดังนั้น หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรัฐมนตรีรวม 34 ราย ยังไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช.ในวันนั้นจะถือว่าไม่ติดใจและได้รับทราบข้อกล่าวหาไปโดยอัตโนมัติ และจะต้องมาแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด
นายปานเทพยังกล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.... และร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ... เพื่อยกระดับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ว่า เป็นการยกระดับ ป.ป.ท.ให้เป็นหน่วยงานอิสระโดยต่อไปจะขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี ส่วนรูปแบบและอำนาจหน้าที่ยังเหมือนเดิม ป.ป.ท.ยังรับเรื่องการไต่สวนข้าราชการในระดับล่าง ดังนั้น การเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.2 ฉบับของ ครม. เป็นการทำให้อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ท.มีความชัดเจนขึ้น ยืนยันไม่กระทบกับการทำงานของ ป.ป.ช. เพราะสองหน่วยงานยังทำงานร่วมกันอยู่ ช่วยเสริมกัน
ส่วนการให้อำนาจ ป.ป.ท.ในการส่งฟ้องต่อศาลเองได้หากอัยการสูงสุดไม่ฟ้องถือเป็นเรื่องดี มีลักษณะคล้ายกับของ ป.ป.ช. นอกจากนี้ ในการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ท.6 คน การให้ ป.ป.ช.สามารถเสนอชื่อเข้าไปได้แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงกันอยู่ ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ ป.ป.ท.ขึ้นตรงกับนายกฯ จะทำงานเป็นอิสระได้อย่างไร นายปานเทพกล่าวว่า ตามหลักแล้วหน่วยงานตรวจสอบต้องเป็นองค์กรอิสระโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบัน ป.ป.ช.เป็นอิสระอยู่แล้ว ส่วน ป.ป.ท.จะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่จะป้องกันการทุจริตโดยการใช้อำนาจบริหาร ดังนั้นจะให้อิสระทั้งหมดเลยคงไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะ ป.ป.ช.กับ ป.ป.ท.มีการประสานงานกันอยู่แล้ว