ผ่าประเด็นร้อน
กลับมาเป็นที่วิจารณ์กันอีกรอบกับกรณีการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร หลังจากล่าสุดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้โยนเรื่องต่อให้สำนักงานกำลังพล (สกพ.) ไปประมวลเรื่องพิจารณาก่อน แล้วค่อยเสนอมาตามขั้นตอน
“ผมต้องพิจารณาดำเนินการสั่งการ โดยตามระเบียบขั้นตอนแล้วจะต้องส่งเรื่องให้สำนักงานกำลังพล (สกพ.) นำเรื่องไปประมวลตรวจสอบรายละเอียดในเรื่องที่คณะกรรมการชุดนี้เสนอมา ตรงนี้เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นจึงอยากชี้แจงว่า ไม่ใช่ความคิดเห็นของคณะกรรมการ ถือเป็นที่สิ้นสุด เพราะตามขั้นตอนแล้ว สกพ.จะต้องประมวลเรื่องส่งมาให้ผมอีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้ผมสั่งการให้ฝ่ายกฎหมายตั้งเรื่องขึ้นมา เพื่อส่งให้ สกพ.พิจารณาประมวลเรื่องต่อไป
คณะกรรมการชุดพิเศษของ พล.ต.อ.ชัยยะ ที่ผมได้แต่งตั้งขึ้นมานั้นเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่ง เพื่อให้ช่วยแสดงความคิดเห็นกลั่นกรองในเรื่องนี้ แต่ตามระเบียบขั้นตอนแล้ว จะต้องให้ สกพ.เป็นฝ่ายพิจารณาประมวลเรื่องส่งมาให้ผมเพื่อพิจารณาสั่งการอีกครั้งหนึ่ง”
นั่นเป็นคำพูดของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่พยายามอธิบายถึงขั้นตอนการพิจารณาในการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ว่า ต้องเดินไปอย่างไร แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคำพูดข้างต้นด้วยเหตุผลของความรอบคอบ (อีกครั้ง) ทำให้เข้าใจว่า เวลานี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องไปให้ฝ่ายกฎหมายได้พิจารณา “ตั้งเรื่อง” ขึ้นมา จากนั้นก็จะส่งให้สำนักงานกำลังพล (สกพ.) พิจารณาแล้วส่งกลับมาให้เขาพิจารณาอีกครั้ง และที่สำคัญ ก็คือ เป็นการพิจารณาแบบไม่กำหนดระยะเวลา ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าเรื่อง “ละเอียดอ่อน” แบบนี้น่าจะต้องใช้เวลาไม่น่าจะต่ำกว่า “สามสิบปี” เป็นอย่างน้อย อย่าว่าแต่แค่ระยะเวลาที่เขาจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้
รูปการณ์ที่ออกมาแบบนี้ ชาวบ้านไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไรมากก็มองออกทันทีว่า นี่คือ “ปาหี่” เล่นละครตบตา เข้าตำรา “ท่าดีทีเหลว”
ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งคำถามว่า หากไม่ได้ดำเนินการจริงจังตามกฎหมายตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมถึงได้ทำขึงขังแสดงให้เห็นว่า “ต้องถอดยศ” ทำไมมีการตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษที่มี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) เป็นประธานขึ้นมาพิจารณาถอดยศ และเมื่อมีการพิจารณาสรุปผลออกมาแล้วด้วยมติเอกฉันท์ แต่กลับไม่ดำเนินการต่อ ในทางตรงข้ามกลับยื้อตีกลับมาให้พิจารณาใหม่ถึงสามครั้ง เมื่อยื้อตรงนั้นไม่ได้ ก็มาใหม่ส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาก่อนที่จะส่งไปยังสำนักงานกำลังพล (สกพ.) และคราวนี้ “พิเศษ” แบบพิเศษจริงๆ ก็คือ “ไม่มีกำหนดระยะเวลา” ความหมายก็คือพิจารณากันจนเกษียณอายุราชการหลังวันที่ 30 กันยายนปีนี้
ฟังจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่บอกว่า มีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโทรศัพท์มาให้ความเห็น ตักเตือน ท้วงติง ทำให้เข้าใจว่าเป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อน” โดยเปิดเผยให้เห็นรายชื่อแต่ละคน ขณะเดียวกัน เมื่อมาย้อนดูเบื้องหลังของนายตำรวจดังกล่าวก็ล้วนได้ดิบได้ดีมาในยุคของ ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งในรัฐบาลพรรคการเมืองที่เขาเป็นเจ้าของ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งมันก็น่าแปลกใจเหมือนกันว่าการพิจารณาแต่ละกรณีในทางระเบียบกฎหมายต้องฟังความเห็นคอยรับเสียงโทรศัพท์จากอดีต “นายเก่า” แทนที่จะพิจารณากันไปตามความเป็นจริงทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผิดหรือไม่ผิดก็ว่ากันไป ทุกอย่างสามารถอธิบายได้
กรณีการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อผลออกมาแบบนี้ ย่อมส่งผลกระทบในทางลบต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแน่นอน เพราะในเมื่ออ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ มันก็ต้องมีการส่งสัญญาณออกมาจากข้างบน และที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เคยยืนยันเองว่า “ผมฟังคำสั่งสองคน” คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เป็นประธานคณะกรรมการตำรวจ (กตร.) ดังนั้น เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่งแบบนี้มันก็ทำให้มองได้เช่นเดียวกันว่ามีคำสั่งมาจากไหน
เมื่อผลออกมาแบบนี้ ออกมาแบบ “การต่อรองให้หยุดพูด” ขณะที่สวนทางกับความรู้สึกของชาวบ้านหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้มองจากท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจังตั้งแต่ต้น ทำให้ชื่นใจว่าคราวนี้คง “ได้เรื่อง” แต่เมื่อสรุปเป็นแบบ “ท่าดีทีเหลว” เป็นมวยล้มต้มคนดู มันก็น่าคิดเหมือนกันว่า แล้วเรื่องอื่นที่บอกว่าจะทำอย่างโน้นอย่างนี้มันจะคาดหวังได้อีกหรือเปล่า !!