ผ่าประเด็นร้อน
ต้องเรียกว่าน่าจับตาทีเดียวกับเจตนารมณ์ในการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในประเทศ โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการ ที่มีการประกาศเอาจริงเอาจังลงโทษขั้นเด็ดขาดนับจากนี้เป็นต้นไป
“นิยมเหล่านี้ทำให้เกิดคำพูดที่ว่า โกงได้ไม่เป็นไรแต่ต้องแบ่งปัน ก็ถือเป็นการโกงตัวเอง โกงประเทศชาติ สอนให้ลูกหลานโกงต่อไปเรื่อยๆ ถือเป็นบาปกรรม ทุกคนจะต้องมีหิริโอตตัปปะ ละอายและเกรงกลัวต่อบาป แต่วันนี้คนที่ละอายต่อบาปกลายเป็นคนจน แต่คนไม่อายก็รวยขึ้นไปเรื่อยๆ จึงต้องลดช่องว่างตรงนี้ให้ได้ โดยการอยู่ร่วมกันด้วยความพอเพียง วันนี้ทุกอย่างดีขึ้น ฝากบอกคณะทูตานุทูตว่าอย่ากังวลประเทศไทยไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด และขณะนี้กำลังปรับปรุงให้สอดคล้องกับการค้าการลงทุน”
“วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาทุจริตทั้งระบบ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งหลายโครงการวันนี้ก็ลดราคาลงได้ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเงินส่วนนี้ก่อนหน้านี้เป็นตัวเลขที่สูญเปล่าไปเฉยๆ และถูกนำไปใช้เชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทา วันนี้นี้ธุรกิจสีเทาหายไปหมดทำให้เศรษฐกิจไทยบางส่วนตกต่ำ แล้วก็ยังมาโทษว่าตนทำให้เศรษฐกิจประเทศแย่ลง แล้วจะให้ตนทำอย่างไร ทำต่อหรือไม่ เพราะเงินเหล่านี้ผิดกฎหมายทั้งหมด”
“จะยอมให้มีการทำผิดกฎหมายกันหรือไม่ ผมจำเป็นต้องจัดการทั้งหมด และไม่ได้ต้องการคะแนนเสียง เพียงแต่ต้องการความพึงพอใจ ไม่ต้องการให้ต่อต้านหรือประท้วง เพราะประท้วงไม่ได้อยู่แล้ว อย่าคิดเตรียมการใดๆ ผมรู้ทั้งหมดว่าใครเตรียมการประท้วง ไม่งั้นจะเข้ามาทำไม ผมรู้ตัวผมอยู่ อย่าหลอกว่าทำอะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้เพราะเป็นประชาธิปไตย เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ วันนี้ผมเป็นคนกำหนดกติกา ที่ผ่านมาหลายรัฐบาล หลายพวกทำไม่ได้ วันนี้ผมมาออกกติกาท่านก็ต้องทำให้ได้ วันนี้ต้องไม่มีการทุจริต ได้สั่งให้รัฐมนตรีตรวจสอบในหลายโครงการ ตอนนี้ทราบว่ามีความกล้ากันมากขึ้น เริ่มมีชื่อให้เห็น”
นั่นเป็นคำพูดบางช่วงบางตอนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระหว่างการเปิดงานประกาศเจตนารมณ์ “ต่อต้านการทุจริตสร้างจิตสำนึกไทยไม่โกง” ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เอาจริงเอาจังปราบปรามเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรีอ้างว่าจากผลงานเอาจริงเอาจังทำให้ล่าสุดประเทศไทยได้รับการจัดลำดับดัชนีชี้วัดด้านคอร์รัปชันเมื่อปี 2557 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 85 ที่ 12 ของเอเชียแปซิฟิก จากเดิมถูกจัดอันดับที่ 102 ของโลก และอันดับที่ 16 ของประเทศในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งยังไม่ดีใจต้องทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างน้อยในอาเซียนต้องเป็นที่หนึ่ง
ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาอีกก็คือในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้รับรายชื่อ 152 ข้าราชการที่เข้าข่ายทำการทุจริตจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่เขาเป็นประธาน ซึ่งรายชื่อดังกล่าวถือว่าได้ส่งถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นล็อตที่ 2 โดยล็อตแรกได้ถูกคำสั่งตามมาตรา 44 พักราชการและสอบสวนวินัยและอาญาอยู่ในเวลานี้ โดยหลายคนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นถึงระดับปลัดกระทรวง อธิบดีก็ดี
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังได้รับการจับตามองและชื่นชมจากสังคมเป็นอย่างสูง เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีความเกลียดเรื่องการทุจริตอย่างมาก มีหลายรัฐบาลที่เสื่อมศรัทธาเพราะเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ดี ได้เกิดค่านิยมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนกล่าวว่า “โกงไม่เป็นไร ถ้าเอามาแบ่งกัน” แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ไม่ได้ถูกขับไล่ออกมาไปในที่สุด แต่ก็ได้ทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย เกิดการทุจริตขยายวงกว้าง กลายเป็น “ค่านิยม” ทุจริตที่เกิดขึ้นลุกลามในทุกวงการ
จากการเอาจริงเอาจังด้วยการสั่งพักราชการข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน ทำให้ได้ใจชาวบ้าน ได้รับเสียงชื่นชม และเมื่อมีการ “ประกาศเจตนารมณ์ปราบโกง และไม่โกง” เชื่อว่าจะต้องได้คะแนนศรัทธาเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีคำสั่งในเรื่องการจัดระเบียบสังคม ทั้งเรื่องการสั่งการให้ปราบ “เด็กแว้น” เด็กวัยรุ่นที่ปิดถนนแข่งรถจนสร้างความเดือดร้อนรำคาญมานาน การปราบปรามอบายมุขที่เป็นแหล่งมั่วสุม เช่น กวดขันร้านขายเหล้ารอบมหาวิทยาลัย แม้ว่าอาจจะดูปลีกย่อย แต่ของแบบนี้เชื่อหรือไม่ว่าหากทำได้ย่อมได้รับการอนุโมทนาสาธุไม่ขาดปากแน่ และที่สำคัญมันเข้าถึงชาวบ้านทุกประเภทเสียด้วย
ดังนั้น หากมองในแง่การเมืองก็อาจจะมองได้เหมือนกันว่านี่คือการ “ขยับทำแต้ม” ที่เห็นผลเร็วและได้เนื้อได้หนัง ยังเป็นการนำมาปรับรูปแบบการทำงานใหม่ให้กระฉับกระเฉงแบบไม่ต้องลงทุนมากนัก แต่ผลที่ตอบรับกลับมามีแต่เสียงชื่นชม และอีกด้านหนึ่งยังสามารถกลบเสียงอื่นๆ ที่ยังทำไม่ได้ผลดีนักอย่างเรื่องปัญหาปากท้องลงได้ไม่น้อย ที่สำคัญยังส่งผลบวกไปถึงอนาคตข้างหน้าหากมีการ “ต่ออายุ” ขึ้นมาจริงๆ หากในตอนนั้นหากมีคำถาม คำตอบก็อาจไม่ลังเลก็ได้!!