อดีต ส.ส. ปชป. ฟ้อง “ประยุทธ์” 2 สนช. เอี่ยวทุจริตซื้อยาปราบศัตรูพืช ทำรัฐเสียหายกว่าพันล้าน ขณะเป็นผู้ว่าฯ บี้ ลาออก แจงยิบผลาญงบ 7,800 ล้าน ต้นทุนจริงไม่ถึง 600 ล้าน พบ 22 ผู้ว่าฯ 135 นายอำเภอ มีเอี่ยว แต่ยังอยู่สบาย สงสัยทำไมข้อมูลไม่ถึงนายกฯ เผย 10 บริษัทที่เกี่ยวข้องปิดกิจการหนี แต่เปิดกิจการใหม่ทำ “รีไซคลิ่ง” หากินกับราชการเหมือนเดิม ขอ กรมสรรพากรตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ระบุ มีนักการเมืองระดับชาติ ล็อบบีเสนอเงินหลายสิบล้านให้หยุดตรวจสอบ เจอสวน ถ้า ปธ.กมธ.ป.ป.ช. รับเงินก็ต้องลบประเทศไทยออกจากแผนที่โลกแล้ว
นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ใ นฐานะอดีตประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาฯ แถลงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างยาปราบศัตรูพืช ที่ใช้งบประมาณ 7,800 ล้านบาท โดยตนได้อภิปรายเรื่องนี้ครั้งแรกวันที่ 1 มีนาคม 55 ระหว่างการอภิปรายร่าง พ.ร.ก. เงินกู้ 3.5 แสนล้าน ซึ่งควรออกเป็นพระราชบัญญัติเพราะมีการกำหนดแบบกว้างเช่น งบประมาณภัยพิบัติทำให้ตรวจสอบยาก จึงมีการยกตัวอย่างการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ที่มีการจัดซื้อในราคาสูงเกินความเป็นจริงโดยผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินได้ครั้งละ 50 ล้าน
ทั้งนี้ พบว่า หลังจากอภิปรายไปแล้วก็ยังมีการจัดซื้ออีกกว่าพันล้านบาท ตนจึงได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพราะปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตจึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยในการอภิปรายได้ระบุชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด 2 คน ซึ่งขณะนี้ถูกโยกย้ายไปแล้ว แต่ยังมีข้าราชการจำนวนมากที่ไม่ถูกลงโทษแต่ยังได้ดิบได้ดีเป็น สนช. ถึง 2 คน
“สนช. ที่เกี่ยวข้อง 2 คน คือ นายชาญวิทย์ วศยางกูร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และ นายพรศัย เจียรไนย ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ใช้ตำแหน่งในฐานะผู้ว่าฯประกาศเขตภัยพิบัติ ซื้อยาแพงโดยวิธีที่ผิดระเบียบที่กำหนดให้ซื้อตามราคาท้องตลาดในพื้นที่ที่เกิดอุบัติภัย โดยจังหวัดมุกกดาหารจัดซื้อเป็นวงเงิน 881 ล้าน เฉพาะผู้ว่าฯ เซ็นเอง 661 ล้าน มีหลักฐานทั้งหมด ส่วนจังหวัดเลย 306 ล้านบาท ที่มีลายเซ็นผู้ว่าราชการจังหวัดประมาณ 250 ล้านบาท” นายวิลาศ กล่าว
นายวิลาศ เปิดเผยด้วยว่า จากที่ตรวจสอบทั้งหมดพบว่ามีผู้ว่าราชการจังหวัดเกี่ยวข้อง 22 จังหวัด นายอำเภอ 135 คน ยังไม่รวมพวกที่ถูกกันเป็นพยาน ซึ่งได้ส่งข้อมูลทั้งหมด 7 หน่วยงานคือ สตง. ป.ป.ช. กระทรวงมหาดไทย ป.ป.ง. สำนักงบประมาณ ป.ป.ท. และกรมบัญชีกลางแล้ว แต่ข้าราชการในส่วนนี้จำนวนมากไม่ถูกลงโทษซึ่งอาจเป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทราบข้อมูล จึงขอให้ข้อมูลนี้เพื่อไปตรวจสอบทบทวนในการจัดการกับข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชันด้วย เพราะการจัดซื้อจัดจ้างยาปราบศัตรูพืช โดยอ้างว่ามีภัยพิบัติซี่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการประกาศพื้นที่เขตภัยพิบัติ ซึ่งใช้งบประมาณถึง 7,800 ล้านบาท แต่ต้นทุนของบริษัทไม่เกิน 600 ล้านบาท มีการขายในราคาที่สูงเกินจริงหลาย 10 เท่าตัว เช่น บางจังหวัดราคาหน้าศาลากลาง 250 บาท แต่ราชการซื้อในราคา 1,920 บาท นอกจากนี้ ยังซื้อเหมือนกันทั่วประเทศโดยมีการกำหนดบริษัทล่วงหน้าด้วย
นายวิลาศ ยังเรียกร้องให้ สนช. ทั้ง 2 คนที่ถูกระบุชื่อออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง และเห็นว่าเจ้าตัวทราบดีอยู่แล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ จึงควรจะพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง สนช. ไม่ใช่คนทำผิดแล้วยังได้ดิบได้ดีเป็น สนช. อยู่ ถ้ารัฐบาลต้องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจริง ต้องดำเนินการกับคนพวกนี้ก่อน ซึ่งตนคิดว่าข้าราชการและอดีตข้าราชการที่ปลดเกษียณไปแล้ว ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่ไม่มีการลงโทษเป็นเพราะมีพวกดี ส่วนจะเป็นพวกใครบ้างตนไม่ทราบ
“งานนี้คนที่เข้าไปโกงบ้านเมืองมีบริษัททั้งหมด 10 บริษัท บางคนอ่านหนังสือไม่ออก บางคนเป็นสาวพริตตี้ บางบริษัทที่ตั้งเป็นคอกควาย แต่เป็นผู้จัดการค้าขายเป็นพันล้าน ปรากฏว่า บริษัทเหล่านี้พบว่ามีข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือในการยื่นภาษีต่อกรมสรรพากร แต่ในขณะที่ผมเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. สภาก็เชิญกรมสรรพากรมาถึงสามครั้ง แต่ไม่ได้เรื่อง จนบริษัทเหล่านี้ปิดกิจการไปหมดแล้ว ทั้งๆ ที่ ผู้ว่าการ สตง. คนปัจจุบันเคยเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการ และมีเลขา ป.ป.ท. เป็นอนุกรรมาธิการด้วยก็ทราบข้อมูลเหล่านี้ แต่ทำไมเรื่องเหล่านี้จึงไม่ถึงนายกรัฐมนตรี ที่น่าสนใจคือ ตัวการใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ 10 บริษัทนี้ไปตั้งบริษัทใหม่ทำบริษัท รีไซคลิ่ง ขูดยางมะตอยเอายางเก่ามาราดใหม่ ยังติดต่อหากินกับราชการเหมือนเดิม” นายวิลาศ กล่าว
นายวิลาศ เปิดเผยด้วยว่า ในระหว่างการตรวจสอบขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้มีนักการเมืองระดับชาติมาเสนอเงินให้ตนหลายสิบล้านบาทต่อจังหวัด เพื่อให้ยุติการสอบสวนแต่ไม่ขอระบุชื่อเพราะเป็นการเสนอปากเปล่า โดยระบุว่าจะจ่ายให้ทุกจังหวัดที่มีปัญหา จึงตอบกลับไปว่าถ้าคนระดับเป็นถึงประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. ของสภารับเงินก็ต้องลบประเทศไทยออกจากแผนที่โลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตนได้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ก็ได้มีการยกเลิกงบประมาณกรณีฉุกเฉินและจำเป็นในส่วนเงินทดลองราชการกรณีฉุกเฉินและจำเป็นจากเหตุภัยพิบัติ ซึ่งเดิมผู้ว่าฯอนุมัติได้ครั้งละ 50 ล้านบาท แต่ปัจจุบันให้จัดซื้อได้ครั้งละ 20 ล้านบาท โดยให้เป็นอำนาจของกระทรวงเกษตรฯจัดซื้อจัดจ้างแทน และเป็นที่น่าสังเกตว่าหลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวประเทศไทยไม่มีพื้นที่ภัยพิบัติเลย