วอน ประชาชน อย่าตกใจ! แม้ ครม. ไฟเขียว 22 หน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าถึงข้อมูลทะเบียนราษฎร จากเดิมที่มีเพียง 119 หน่วยงาน แจงเป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อ “กรมการปกครอง” อยู่แล้ว เผย “มท.” อ้างความจำเป็นเหตุประเทศมีภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เหตุต้องเชื่อมโยงข้อมูลกับทะเบียนราษฎร เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ - สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด หรือขบวนการกระทำความผิดมาลงโทษ
วันนี้ (2 มิ.ย.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้ส่วนราชการ หรือ หน่วยงานของรัฐ 22 หน่วยงาน เชื่อมโยงข้อที่ปรากฏในทะเบียนอื่น (ภาพใบหน้า) เพิ่มเติม นอกจากทะเบียนตามมาตรา 15 วรรค 2 แห่ง พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร 2534 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรในระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงมหาดไทย จากเดิมที่มีเพียง 119 หน่วยงาน ซึ่งข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงได้ ประกอบด้วย ทะเบียนบ้าน ทะเบียนเกิด และ ทะเบียนตาย
ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศมีภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่มีความซับซ้อน หน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมโยงข้อมูลกับทะเบียนราษฎร เพื่อปกป้องประชาชนที่บริสุทธิ์ และสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด หรือขบวนการกระทำความผิดมาลงโทษ
“ดังนั้น หน่วยงานด้วยความมั่นคงทุกส่วน จำเป็นที่จะต้องได้ข้อมูลมากกว่าทะเบียนบ้านคนเกิด คนตาย ซึ่งคือทะเบียนราษฎรที่มีหน้าคนมาประกอบข้อมูลได้ แต่ต้องนำมาใช้ตามความจำเป็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนต้องตกใจ เพราะเป็นข้อมูลที่ประชาชนได้เปิดเผยต่อกรมการปกครองอยู่แล้ว เพียงแต่อนุญาตให้ 22 หน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าถึงข้อมูลได้”
มีรายงานว่า กรมการปกครอง (สำนักทะเบียนกลาง) กระทรวงมหาดไทย ได้อนุญาตให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรในการปฏิบัติหน้าที่ โดยได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการขอใช้ประโยชน์ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง จำนวน 119 หน่วยงาน (ข้อมูลถึงวันที่ 7 เมษายน 2558)
ขณะที่ คณะกรรมการพิจารณาการขอเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางที่แต่งตั้งตามคำสั่งกรมการปกครองได้พิจารณาอนุญาตให้ส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง รวมถึงทะเบียนอื่น ได้แก่ ภาพใบหน้าจากข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนด้วย เฉพาะส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในราชอาณาจักรด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม เป็นต้น จำนวน 26 หน่วยงาน (ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2540 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2551) ซึ่งเป็นการให้เชื่อมโยงข้อมูลเกินกว่าที่กำหนดในมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 ที่บัญญัติว่า หากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร นายทะเบียนอาจอนุญาตให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่ปรากฏภายในทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิดหรือทะเบียนคนตายเท่านั้น
โดยในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการขอเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ จำนวน 22 หน่วยงาน เชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่น (ภาพใบหน้า) นอกจากทะเบียนตามวรรคสอง เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีกำหนดว่าเป็นไปตามมาตรา 15 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป ดังนี้
1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
2. กองบัญชาการกองทัพไทย
3. สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
4. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
5. สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (กรมการกงสุล)
6. กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง
7. กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
8. สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ
9. องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
10. โรงพยาบาลศิริราช
11. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
12. กรมกำลังพลทหารอากาศ กระทรวงกลาโหม
13. กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง
14. ธนาคารแห่งประเทศไทย
15. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
16. สำนักงานศาลยุติธรรม
17. โรงพยาบาลรามาธิบดี
18. กรมที่ดิน มท.
19. กองทัพเรือ (กรมข่าวทหารเรือ)
20. โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
21. สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
22. สำนักราชเลขาธิการ