“ประยุทธ์” ห่วงกระแสโซเชียลมีเดียค้านรัฐบาลช่วยชาวโรฮีนจา ยันการตัดสินใจจะยึดประเทศชาติและประชาชน รวมถึงความมั่นคงเป็นที่ตั้ง แต่ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตามหลักมนุษยธรรมก็ต้องทำ โดยต้องมีขอบเขต เชื่อคนไทยล้วนมีหลักการเดียวกัน ร่วมฝ่าฟันปัญหาไปกับรัฐบาลบนความถูกต้องและดีงาม มั่นใจคิดดีทำดีย่อมได้ผลดี พร้อมขอบคุณผู้ที่เป็นห่วงสุขภาพนายกฯ
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รู้สึกเป็นห่วงต่อกระแสในสื่อโซเชียลมีเดียขณะนี้ที่แสดงความเห็นในทำนองไม่ต้องการให้รัฐบาลยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้เคลื่อนย้ายอย่างไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย เพราะเกรงจะกลายเป็นภาระแก่ประเทศในระยะยาว รวมทั้งกังวลเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยนายกฯ ได้ฝากเรียนพี่น้องประชาชนว่า เข้าใจความห่วงใยของคนไทยทุกคน การตัดสินใจใดๆ ของรัฐบาลจะยึดเอาประเทศชาติและประชาชนคนไทยเป็นที่ตั้ง และจะไม่ดำเนินนโยบายใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพและความมั่นคงของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์และการให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำในขอบเขตที่เหมาะสมและไม่เดือดร้อน ไม่ใช่เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด ถ้าแบบนี้คงไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม การที่เราจะปฏิเสธการให้ความช่วยเหลืออย่างสิ้นเชิงก็อาจส่งผลต่อการดำรงตนในฐานะสมาชิกประชาคมโลกที่ยังต้องมีการติดต่อประสานพึ่งพากันในกรณีอื่นๆ นายกฯ เชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนคนไทยล้วนเข้าใจในหลักการนี้และมีสติมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมใจกับฝ่าฝันปัญหาไปกับรัฐบาลบนความถูกต้องและดีงาม นายกฯ กล่าวเสมอว่าคิดดีทำดีย่อมได้ผลดี
พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯ ฝากขอบคุณมายังพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ที่ส่งกำลังใจแสดงความห่วงใยเรื่องสุขภาพมายังตัวนายกฯ และรัฐบาล ที่ขณะนี้มีปัญหารุมเร้าให้ต้องแก้ไขมากมาย นายกฯ ฝากเรียนว่าท่านมีความมุ่งมั่นเต็มที่ มีกำลังใจเต็มเปี่ยม เหนื่อยบ้างแต่ไม่ท้อถอย
สำหรับแนวทางการจัดการปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ประเทศไทยยังคงใช้หลักการเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ให้การดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้ลักลอบข้ามแดนทุกชนชาติและเชื้อชาติ โดยให้การดูแลเรื่องอาหาร ตรวจรักษาสุขภาพ และทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายของประเทศไทย เพื่อส่งกลับ ซึ่งทุกประเทศในโลกล้วนใช้แนวทางนี้ในการดำเนินการกับผู้ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย
“ขอยืนยันอีกครั้งว่าประเทศไทยไม่มีนโยบายตั้งศูนย์อพยพหรือค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย เป็นเพียงการจัดหาพื้นที่ควบคุมเป็นการชั่วคราวให้ระหว่างรอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เนื่องจากพื้นที่ของ ตม.มีการความแออัด และประเทศไทยเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาที่สมเหตุสมผล ควรแก้ที่ต้นทางของปัญหา องค์กรนานาชาติที่มีหน้าที่ควรเข้าไปให้การช่วยเหลือพัฒนาสวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของผู้เคลื่อนย้ายเหล่านี้ตั้งแต่ประเทศต้นทาง เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายออกมายังประเทศอื่น”