ประชาชนแห่เที่ยวงาน “เทศกาลผักผลไม้ไทยคุณภาพ” เลียบคลองผดุงกรุงเกษม 11 วัน ยอดจำหน่ายกว่า 10 ล้านบาท รัฐบาลชวนชิม “มังคุด - ทุเรียน” ไฮไลต์สัปดาห์ที่ 3 สุดยอดราชา - ราชินีผลไม้ไทย
วันนี้ (17 พ.ค.) พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “เทศกาลผักผลไม้ไทยคุณภาพ” ณ เลียบคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 - 31 พ.ค. มีประชาชนให้ความสนใจ เข้ามาจับจ่ายใช้สอยซื้อหาสินค้าจำนวนมาก ตั้งแต่วันเปิดงาน ถึงวันเสาร์ที่ 16 พ.ค. 58 มียอดจำหน่ายสะสมรวม 10,483,479 บาท มีผู้ชมงานรวม 62,129 คน โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ เจ้าภาพจัดงานจะขยายเพิ่มช่วงเวลาการเปิดขายสินค้าในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เพิ่มวันละ 1 ชั่วโมง จากเดิมเวลา 10.00 - 19.00 น. เป็นถึง 20.00 น.
สำหรับภายในงาน มีร้านจำหน่ายผักและผลไม้ ซึ่งคัดเลือกสินค้าดีสินค้าเด่นจากทุกจังหวัดทั่วประเทศมาจำหน่าย จำนวน 70 บูธ แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 การแสดงและจำหน่ายผักและผลไม้ไทยคุณภาพ ส่งตรงจากสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นแหล่งผลิตผลไม้คุณภาพจากทั่วทุกภาคของประเทศ โซนที่ 2 จำหน่ายพันธุ์และกิ่งพันธุ์ไม้ผล และโซนที่ 3 จำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปผักและผลไม้
โดยแต่ละสัปดาห์จะมีสินค้าที่เป็นไฮไลต์ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมงาน โดยสัปดาห์แรก (6 - 10 พ.ค.) เน้นจำหน่ายมะม่วงหลากรส หลายสายพันธุ์ อาทิ มะม่วงอกร่อง มะม่วงน้ำดอกไม้ สัปดาห์ที่สอง (11 - 17 พ.ค.) เน้นนำเสนอผลไม้รสหวานฉ่ำ อร่อย อาทิ สับปะรด แตงโม ลิ้นจี่ สัปดาห์ที่สาม (18 - 24 พ.ค.) ที่กำลังจะมาถึงจะเน้นจำหน่าย ทุเรียน และมังคุด ซึ่งเป็นสุดยอดราชา และราชินีแห่งผลไม้ ส่วนสัปดาห์ที่ 4 จะนำเสนอ ผักอินทรีย์ สดใหม่ ปลอดภัย กล้วยหอมส่งออก และผลไม้แปรรูปต่างๆ
“เหลือเวลาอีก 2 สัปดาห์ สำหรับงานเทศกาลผักผลไม้ไทยคุณภาพ จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาร่วมงาน ได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศ ชิมผัก ผลไม้สด อร่อยมีคุณภาพ ที่จัดตรงจากสวนของเกษตรกร มาจำหน่ายในราคายุติธรรม รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขาย ลดราคาสินค้าแต่ละช่วงเวลา กิจกรรมฝึกอาชีพ และการแสดงศิลปะดนตรี ที่สร้างสีสันความบันเทิงภายในงานอีกมากมาย”
ทั้งนี้ การจัดการ “งานเทศกาลเทศผักไทยผลไม้คุณภาพ” ในครั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายหลักในการช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ได้มีพื้นที่สำหรับนำเสนอสินค้าดีมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จักและสามารถจำหน่าย ถึงมือผู้บริโภคโดยตรงในราคายุติธรรม รวมถึงสามารถสร้างเครือข่ายระหว่างเกษตรกรกับคู่ค้า ในการเชื่อมโยงธุรกิจร่วมกันในอนาคตด้วย