ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าสำหรับคอการเมืองที่ติดตามสถานการณ์มาอย่างใกล้ชิดย่อมต้องจับสัญญาณติดว่า การออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ในอดีตที่เป็นมาแล้วแทบทุกประเภท ตั้งแต่เป็นนายจนกระทั่งถดถอยกลายมาเป็น “ลูกน้อง” ก็ยอมเป็นมาแล้วทุกรูปแบบ นั่นคือหากทบทวนความทรงจำกันเล็กน้อยจะเห็นว่า เขาเคยเป็นทั้งผู้นำกองทัพ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สารพัด เป็นมาแทบจะหมดแล้ว จากฉายา “ขงเบ้ง” จนกระทั่งระยะหลังถูกกระทบกระเทียบเหน็บแนมกลายเป็น “ขงเบ๊” ก็มี เพราะเขาเป็นคนแรกที่ยอมลดตัวจากที่เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ มาเป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีให้กับลูกน้องเก่าอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลของเขาช่วงวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ในปี 40 ที่มีข่าวอื้อฉาวจาก “ข้อมูลภายใน” ในกรณีลดค่าเงินบาท
ถือว่าเป็นอดีตผู้นำคนแรกที่กลับมารับตำแหน่งที่สถานะต่ำกว่าเดิม จากนายกลายสภาพมาเป็นลูกน้อง ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ยืดอกรับคำสั่งมาแล้วแบบไม่เคอะเขิน
อย่างไรก็ดี มองอีกมุมหนึ่งหากไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี หรือเสียงนินทาตามหลังก็ต้องถือว่าคุ้มค่า คุ้มค่าตั้งแต่ที่มีข่าววิจารณ์กันหนาหูว่ายอม “เซ้ง” พรรคความหวังใหม่ให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ใช้เป็นพรรคอะไหล่และนำไปสู่การ “ควบรวม” กับพรรคไทยรักไทยในอดีต และตัวเองก็เปลี่ยนสภาพจากนายมาเป็นลูกน้อง โดยรับตำแหน่งรัฐมนตรีทำตัวเป็นคนสนิทได้อย่างกลมกลืน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้รับกับบทบาทของเขาที่เปลี่ยนไปแต่ละครั้ง
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้เห็นการเคลื่อนไหวออกมาแบบ “ผิดปกติ” ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อีกครั้ง ที่บอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เพราะว่าด้วยวัยที่น่าจะเป็นแบบ “ไม้ใกล้ฝั่ง” น่าจะเก็บตัวเงียบๆ อยู่กับบ้านเลี้ยงหลาน หรือสัตว์เลี้ยงมากกว่า เหมือนกับที่ผ่านมาสังคมไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหวของมานานแล้ว
แต่ล่าสุดกลายเป็นว่าสังคมได้เห็นการเคลื่อนไหวที่หวือหวาอีกครั้งของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เริ่มตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนเขาเดินสายไปพบปะกับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่จังหวัดทางภาคอีสานซึ่งเป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)ที่เข้ามอบตัวตามนโยบาย 66/23 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯและน้องสาว ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินสายในทำบุญในช่วงเวลาเดียวกันอย่างน่าสังเกตอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาไปกว่านั้นก็คือ หากไม่ปฏิเสธความจริงก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญว่าจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ “คาร์บอมบ์” ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เขาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับตั้งข้อสังเกตกลับไปว่าทำไมต้องเกิดเหตุในช่วงที่เขาเดินทางมาสุราษฎร์ธานีพอดี
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยังเป็นบุคคลที่ฝ่ายความมั่นคงยังติดตามความเคลื่อนไหว ดังที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ยอมรับว่าการเดินทางไปพื้นที่หาดใหญ่ของ พล.อ.ชวลิต ต้องถูกติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ธรรมดาเช่นเดิม
และที่ต้องพิจารณากันเป็นพิเศษก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นสาเหตุสำคัญ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้ต้องมีคำสั่งปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวีของคนเสื้อแดงหรือไม่ เพราะตามกำหนดเขามีกำหนดมาออกรายการที่นี่ในวันที่ 29 เมษายน ดังนั้นเพื่อตัดเกมก็จำเป็นต้องลงมือสักอย่าง
ดังนั้น หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในช่วงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่าจับตา และจับสัณญาณได้ว่า “เดินตรงกันข้าม” กับกลุ่มอำนาจในปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังสงสัยจะเชื่อมโยงกับเครือข่ายทักษิณ หรือไม่ แต่ที่ต้องมาวิเคราะห์กันว่า ทำไมเขาถึงต้องออกมาเคลื่อนไหวทั้งที่ถือว่าอยู่ในวัย “ไม้ใกล้ฝั่ง” ควรจะอยู่สงบเงียบๆ ในบั้นปลายได้แล้ว ซึ่งคำถามก็คือทำเพื่อใคร รับงานจากใครกันแน่ แต่มีความคุ้มค่าแค่ไหน!!