xs
xsm
sm
md
lg

“วิชา” เปิดคดีถอดถอน “บุญทรง-ภูมิ-มนัส” ยันจีทูจีเก๊ แฉลามถึงมันสำปะหลัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สนช.ประชุมเปิดสำนวนถอดถอน “บุญทรง-ภูมิ-มนัส” คดีข้าวฉาว “วิชา” ยัน พบจีทูจีเก๊ แฉเกมโกง “ขรก.-นักการเมือง-เอกชน” รวมหัวคิดแผนเวียนข้าวราคาต่ำกว่าตลาด ทำประเทศเสียหายมหาศาล ปูดพิรุธตัวละครเดิมขายรัฐต่อรัฐลามถึงวงการมันสำปะหลัง จ่อฟันอาญาเพิ่ม ขณะที่ “บุญทรง” นำทีมแก้ข้อกล่าวหา ยันทำถูกต้องโปร่งใส ปกปิดข้อมูลระบายข้าวแบบจีทูจีเป็นธรรมเนียมทุกรัฐบาล โวยถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ.ฮั้ว มีโทษร้ายแรงถึงติดคุกตลอดชีวิต พร้อมขู่ สนช.เดินหน้าถอดถอนเท่ากับประหารก่อนศาลตัดสิน อาจเจอข้อหาก้าวล่วง ด้าน “ภูมิ” ท้า ป.ป.ช.โชว์หลักฐานรวมหัวกันโกยผลประโยชน์พิสูจน์ข้อกล่าวหา ส่วนดอดีตอธิบดีกรมการค้าอ้างตกเป็นเบี้ยให้ฝ่ายการเมือง หวังพระคุ้มครองให้พ้นกรรม

ที่รัฐสภา เมื่อ เวลา 09.25 น. วันนี้ (23 เม.ย.) มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ได้พิจารณาวาระพิเศษเพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกอบมาตรา 56 (1) และมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นการแถลงเปิดสำนวนตามรายงานและความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะผู้กล่าวหา และการแถลงคัดค้านโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวนหรือรายงานพร้อมความเห็นของป.ป.ช.ของผู้ถูกกล่าวหา ตามข้อบังคับข้อ 154 วรรคหนึ่ง

นายพรเพชรได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ผู้ถูกกล่าวหาคือนายบุญทรง และนายภูมิได้ทำหนังสือคัดค้านการบรรจุวาระการถอดถอนเข้าสู่ที่ประชุม สนช.รวมทั้งคัดค้านวิธีพิจารณาการถอดถอนว่าไม่เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม ขอชี้แจงว่าในครั้งการพิจารณาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีนายกฯ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ก็ได้มีการ้องเรียนคัดค้านเช่นเดียวกัน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติว่าความผิดดังกล่าว สนช.มีอำนาจในการถอดถอนและถือเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการถอดถอน

จากนั้นนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะผู้แทน ป.ป.ช.เป็นผู้แถลงเปิดสำนวนคดีว่า เมื่อมีผู้ร้องเรียนพบการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ปี 42 และได้มีการไต่สวนพยาน และผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอเป็นรายงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย นายภูมิ นายบุญทรง และนายมนัส รวมถึงข้าราชการทั้งหมด 21 ราย โดยเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการรับจำนำข้าวที่มีข้อท้วงติงตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มกระบวนการว่าจะก่อให้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน มีผู้ออกมาตรวจสอบและตักเตือนให้ระงับยับยั้งในโครงการดังกล่าว ทั้ง ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และรัฐสภา ตลอดจนนักวิชา รวมทั้งที่ปรึกษารัฐบาล และรัฐมนตรีบางท่านที่อยู่ในรัฐบาลขณะนั้น อาทิ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นต้น แต่ก็ไม่มีการฟังเสียงท้วงติง

“กระบวนการทั้งหมดทำให้ระบบค้าข้าวทั้งประเทศเสียหาย โดยรัฐบาลชอบอ้างการช่วยเหลือชาวนา และถ้าผู้ใดคัดค้านก็จะกล่าวหาว่าคนที่คัดค้านไม่สงสาร ไม่เห็นใจชาวนาที่ยากจน ทั้งที่เราสามารถช่วยเหลือชาวนาได้อีกหลายวิธี ที่เป็นวิธีที่ยั่งยืน ขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นการค้าขายที่มิใช่การกระทำแบบรัฐต่อรัฐอย่างแท้จริง มีข้อพิรุธผิดปกติมากมาย เพราะไม่มีการขายข้าวให้แก่รัฐบาลหรือตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศ ที่สำคัญไม่มีการส่งออกข้าวและทำสัญญาซื้อขายไปยังต่างประเทศ ดังนั้นการอ้างว่าเป็นการขายแบบจีทูจี ถือว่าผิดวิธีมาตั้งแต่ต้น ที่มีการรับจำนำในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด จนทำให้เกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก และเมื่อระบายข้าวแบบจีทูจีในราคาที่ต่ำกว่าปกติ เพราะเป็นราคาขายมิตรภาพ แต่ก็ยังเวียนข้าวอยู่ในประเทศ ย่อมเพิ่มมูลค่าเสียหายเป็นเท่าทวีคูณ ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อระบบงบประมาณอย่างร้ายแรง”

นายวิชากล่าวว่า แต่ยังมีข้าราชการที่ยืนหยัดที่ต่อสู้เพื่อความจริงอย่างซื่อสัตย์สุจริต อาทิ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนางชุติมา บุญยประภัสสร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบัน ที่เป็นพยานบุคคลสำคัญ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยยืนยันว่าไม่มีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอย่างแท้จริง และเมื่อคณะกรรม ป.ป.ช.ได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและรับฟังผู้ถูกความกล่าวหาทั้งหมดแล้ว สรุปได้ว่าผู้ถูกล่าวหาทั้งหมดที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจในจัดการหรือรักษาข้าว และการพิจารณาการซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ได้มีเจตนาร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย พร้อมด้วยกลุ่มบุคคลที่เป็นภาคเอกชน กระบวนการทุจริตจำนำข้าวไม่สามารถทำได้โดยลำพัง เพราะต้องกระทำได้ 3 ฝ่าย คือ ข้าราชการประจำ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นักธุรกิจภาคเอกชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนทุจริตทุกขั้นตอน

นายวิชากล่าวว่า การกระทำดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและผู้อื่น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และประเทศชาติอย่างร้ายแรง คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียงว่ากระทำของนายมนัส นายภูมิ และนายบุญทรง ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจาก ครม.ให้เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ กลับไปดำเนินการเจรจาและให้ความเห็นชอบในการทำสัญญาซื้อขายข้าวกับบริษัท กวางตุ้งฯ สเตชั่นนารี แอนด์สปอร์ตติ้งกู๊ด อิมพอร์ตแอนด์เอ็กซ์พอร์ต คอร์เปอเรชั่น และบริษัท ไห่หนาน แกรนแอนด์ออย อินดัสตรี้ เทรดดิ้ง คอมพานี ทั้งที่หน่วยงานไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน และไม่ใช่หน่วยงานที่มีวัตถุประสงค์กับการค้าขายข้าวโดยตรงจากรัฐบาลจีน ดังเช่นหน่วยงานของไชน่า เนชั่นนัล ซีลีนออยแอนด์ฟูดสตัค คอร์ปอร์เรชั่น หรือออคโค้ ประกอบกับเงินที่นำมาชำระค่าข้าวไม่ได้นำมาจากหน่วยงานทั้งสองแห่ง อีกทั้งไม่มีการขนข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ออกนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกระบวนการปกติของการซื้อขายแบบจีทูจี ต้องเปิดแอลซี หรือเลตเตอร์ออฟเครดิต หาใช่จ่ายเป็นเช็คเงินสดให้กรมการค้าต่างประเทศ หรือเอกซ์แวร์เฮาส์

“การกระทำดังกล่าวจึงมีความผิดทางอาญาฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้เกิดประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดให้เป็นผู้ได้สิทธิ์ได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ในการอนุมัติการพิจารณาหรือการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคารู้ว่าการเสนอราคาครั้งนี้ มีการกระทำความผิด แต่ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อไม่ให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคา และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐและทำการโดยมุ่งหมายไม่ให้เสนอราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคาให้เป็นผู้มีสิทธิ์ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 10 และมาตรา 12”

นายวิชากล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และประเทศชาติ อันเป็นส่วนรวมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์และประเทศชาติ หรือปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยทุจริตตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ปี 42 มาตรา 123/1 ซึ่งทางคณะกรรม ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องร้องคดีและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ประทับฟ้องและนำไปสู่การพิจารณาคดีแล้ว

นายวิชากล่าวอีกว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า แคชเชียร์เช็คที่นำมาชำระหนี้ค่าข้าวรัฐต่อรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นแคชเชียร์เช็คของผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลัง ซึ่งเป็นเจ้าของเงินดังกล่าวเป็นจำนวนมากถึง 3 พันกว่าล้านบาท และเอกสารหลักฐานปรากฏว่าผู้ประกอบการมันสำปะหลังเหล่านี้ เมื่อได้ส่งมอบแคชเชียร์เช็คให้กรมการค้าต่างประเทศแล้วก็ได้มีการเบิกมันสำปะหลังจากคลังสินค้าของรัฐบาล คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงได้มีมติด้วย ว่าให้สำนักงาน ป.ป.ช.แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานว่าในช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มีทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐที่ไม่ได้เป็นความจริง เช่นเดียวกับการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอีกหรือไม่อย่างไร พร้อมกันนั้นกระบวนการไต่สวนพบว่าได้มีบริษัทจีนคือตัวละครชุดเดิมและชุดใหม่รวมทั้งสิ้น 4 บริษัทได้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายในลักษณะที่แบบตัวละครเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ราชการ หรือนักธุรกิจ หรือผู้ประกอบธุรกิจในด้านการค้าข้าว มันสำปะหลัง เพราะฉะนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.กำลังดำเนินกระบวนการไต่สวนโดยเร่งด่วนเพื่อที่จะนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายอาญาต่อไป

จากนั้นผู้ถูกร้องทั้ง 3 ได้แสดงคัดค้าน เริ่มจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ แถลงเปิดคดีโต้แย้งทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหา และแม้ว่าส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยกับการที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บรรจุเรื่องของตนเข้าสู่ที่ประชุม และดำเนินการพิจารณา แต่การมาแถลงเปิดคดีในวันนี้ก็หวังได้รับความเป็นธรรม และความเข้าใจจากสภาว่าสิ่งที่ตนถูกดำเนินคดีไม่เป็นธรรมหลายประการ และแน่นอนว่าเรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีทางการเมือง ป.ป.ช.จึงควรรับฟังหลักฐานและวางตัวเป็นกลาง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ป.ป.ช.รีบเร่งดำเนินคดี ไม่ไต่สวนพยานตามที่ร้องขอจำนวนมาก หากเปรียบเทียบกับคดีระบายข้าว ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ โดยอ้างเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 สร้างความสงสัยแก่สังคม

ทั้งนี้ ตนมีข้อพิรุธในการดำเนินการของ ป.ป.ช. เนื่องจากการทำสัญญาระบายข้าวย่อมมีผู้ซื้อและผู้ขาย แต่กลับไม่มีการสอบพยานฝ่ายผู้ซื้อว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลจีนจริงหรือไม่ ทั้งที่ผู้ซื้อก็เป็นรายเดียวกัน ก่อนที่ตนจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ด้วย นอกจากนี้ ผู้แทนคดีฝ่าย ป.ป.ช.ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนมีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์กับตน และรัฐบาล โดยชี้นำว่าคดีดังกล่าวและอดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดก่อนชี้มูลด้วยซ้ำ ตนเห็นถึงความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม จึงคัดค้านตามสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้เจ้าของสำนวนถอนตัว เพื่อคำนึงถึงจริยธรรม แต่บุคคลนี้ก็ยังยืนยันปฏิบัติหน้าที่ต่อ

นายบุญทรงกล่าวว่า ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง รมช.คลัง ตนรู้ถึงปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทรยศต่อประชาชนที่เลือกตนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ การทำหน้าที่ของตนมีกรอบการปฏิบัติ และคำนึงถึงปัญหาเร่งด่วน นโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่สำคัญคือประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ปัญหาเร่งด่วนคือการเร่งระบายข้าวที่มีอยู่ในสต็อกของรัฐบาล เป็นกรอบที่กระทรวงพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และสอดคล้องกับข้อเสนอแนะ ป.ป.ช. หากไม่ดำเนินการอาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้

สำหรับยุทธศาสตร์การระบายข้าวมีวัตถุประสงค์เพื่อระบายข้าว โดยให้มีผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศให้น้อยที่สุด รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด อีกทั้งต้องรักษาส่วนแบ่งในตลาดโลกด้วย การระบายข้าวจึงพิจารณาจากจังหวะที่เหมาะสม และเพื่อประโยชน์สูงสุดข้อมูลการระบายข้าวต้องเป็นความลับ ไม่เปิดเผยปริมาณข้าวในสต็อกของรัฐบาล เพื่อไม่ให้ใครเอาไปใช้เป็นเครื่องมือได้ ขณะเดียวกันต้องสร้างกระแสเชิงบวก ซึ่งทั้งรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มียุทธศาสตร์การกระบายข้าวที่ไม่แตกต่างกัน เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์เดิมที่รัฐบาลที่ผ่านมาเคยปฏิบัติ และบุคคลที่ปฏิบัติก็เป็นบุคคลเดิมตั้งแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทั้งสิ้น โดยที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีการโยกย้ายข้าราชการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการระบายข้าวเลย

นายบุญทรงกล่าวต่อว่า กรณีที่ต้องปกปิดข้อมูลการระบายข้าวไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลตน แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย แต่รัฐบาลตนได้ถูกกลุ่มการเมืองจ้องโจมตี นำมาเป็นวาระทางการเมือง จนในที่สุดทำให้ตลาดข้าวไทยในต่างประเทศเสียหาย ซึ่งการขายข้าวแบบจีทูจี ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อราชการ เพราะสามารถระบายข้าวได้ปริมาณมาก ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าข้าวจะมีคุณภาพ และส่งมอบได้ตามกำหนดเวลา และยังช่วยเร่งรัดการส่งออก ในส่วนการเจรจาซื้อขายข้าวแบบจีทูจี เริ่มต้นจากการที่หน่วยงานรัฐวิสากิจของจีนขอเจรจาซื้อขายข้าว โดยแนบเอกสารการเป็นรัฐวิสาหกิจด้วย จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลจีนร้อยเปอร์เซ็นจริง แต่บริษัทของจีนก็ไม่เคยได้รับโอกาสมาชี้แจงจาก ป.ป.ช. ทั้งที่ส่งหนังสือขอมาชี้แจง แต่ ป.ป.ช.ปฏิเสธที่จะรับฟัง จึงถือว่าเป็นการกระทำที่รับฟังความฝ่ายเดียว ไม่เป็นธรรม ไม่สมกับการทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรม ไม่เป็นกลางในการปฏิบัติ

“ตลอดการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ และประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาการระบายข้าว ผมได้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักเกณฑ์ ธรรมเนียมปฏิบัติทุกประการด้วยความระมัดระวัง วันนี้ไม่ใช่แค่ถูกกล่าวหาตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่ยังถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ซึ่งร้ายแรงมีโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้มีการแจ้งข้อล่าวหาฮั้วแต่อย่างใด ดังนั้น การชี้มูลของ ป.ป.ช.ต้องชัดเจนกระจ่างว่ามีพยานหลักฐานใด ระบุว่าผมได้ประโยชน์ตอบแทน วันนี้ผมเหมือนมีชีวิตแขวนบนเส้นด้าย โทษที่ฟ้องร้ายแรงถึงขั้นจองจำตลอดชีวิต จึงขอแก้ข้อกล่าวหาเพื่อไถ่ชีวิตตัวเอง”

นายบุญทรงกล่าวว่า หากสภาแห่งนี้ยังดำเนินการถอดถอนต่อจะเท่ากับใช้ดุลยพินิจก้าวล่วงชี้นำศาล เป็นการประหารก่อนกระบวนการของศาล สำนึกยุติธรรมของท่านจะใช้ที่นี่หรือพิสูจน์ที่ศาล ท่านไม่ควรดำเนินการใดๆ ในสภานี้อีก แต่หากจะดำเนินการต่อไป ตนขอฝาก สนช.ช่วยซักถาม ป.ป.ช.แทนด้วยว่า การระบายข้าวแบบจีทูจีต้องมีผู้ซื้อและผู้ขาย ทำไมไม่สืบพยานฝ่ายผู้ซื้อทั้งที่ตนขอให้สืบหลายครั้ง และยังได้ทำหนังสือขอระบุพยายานเพิ่มเติมจำนวนมาก ทำไมไม่เรียกมาไต่สวนทั้งที่สำคัญทั้งสิ้นเพื่อทำให้ได้รับรู้ข้อมูลครบถ้วน เมื่อเป็นเช่นนั้นจะให้เชื่อที่อ้างว่าเป็นความยุติธรรมได้อย่างไร สำหรับตนคือการประหารทางการเมืองที่ไม่อาจสยบยอมและพร้อมต่อสู้คดีต่อไป จึงขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช.ชี้มูลทุกประการ

จากนั้น นายภูมิแถลงว่า การที่ ป.ป.ช.หยิบยกประเด็นการอนุมัติขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาในประเทศ ถือเป็นการกล่าวหาโดยปราศจากเหตุผลรองรับ ถ้า ป.ป.ช.เห็นว่าต่ำกว่าที่ผ่านมาก็ต้องมีหลักฐานมาแสดงว่าการขายข้าวรัฐต่อรัฐครั้งใดที่ได้ราคาสูงกว่า ทั้งนี้ ตนมั่นใจในความบริสุทธิ์ และความสุจริต ตลอดที่อยู่ในตำแหน่งตนไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ร่วมกับใครเพื่อไปกระทำผิด แม้แต่ในรายงานและการไต่สวนของสำนวนป.ป.ช.ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าตนกระทำผิด มีแต่ความเห็นของอนุกรรมการไต่สวนของป.ป.ช.ที่ระบุว่าตนสมคบคิดร่วมกระทำผิด ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง

ส่วนข้อกล่าวหาว่าฮั้ว เป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่ร้ายแรง จึงอยากให้สมาชิกแยกแยะข้อเท็จจริงว่า มีพยานหลักฐานช่วงใดที่แสดงว่าตนได้สมคบหรือแบ่งหน้าที่กันทำ ซึ่งไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ปรากฏในสำนวนกล่าวหาของ ป.ป.ช.เลย จึงขอให้สมาชิกตรวจสอบหลักฐานให้ละเอียด และให้ความเป็นธรรม พร้อมทั้งขอเสนอให้ สนช.ยุติการพิจารณาถอดถอน เพราะสำนวนที่สมาชิกถืออยู่ขณะนี้เอกสารทั้งหมดอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว และศาลได้กำหนดวันในการพิจารณาแล้ว สภาแห่งนี้ไม่ควรสร้างบรรทัดฐานใหม่ ในการพิจารณาคดีถอดถอนควบคู่ไปกับการพิจารณาของศาลหรือตัดสินก่อน

ด้านนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้แจงว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา ทุกฝ่ายนำข้าราชการประจำที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอนโยบายต่างๆ ในราชการ หรือทำนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการโจมตีทางการเมือง ข้าราชการเป็นเบี้ยตัวอย่าง ทั้งที่ตนเป็นคนดำเนินการจัดการขายข้าวในรัฐบาลเดิมอย่างไร เมื่อมีรัฐบาลใหม่ออกมาก็ทำอย่างนั้น ตลอดเวลา 2 ปี 5 เดือนที่อยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ตนได้เสนอเอ็มโอยูกับประเทศฟิลิปปินส์จนสำเร็จ โดยการขายข้าวปีละ 2 ล้านตัน นอกจากนี้ทีมงานของตนยังเคยทำการเจรจากับรัสเซียในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นผลสำเร็จเพราะมีการต่อรองดอกเบี้ยจนได้เงินคืน

“ตลอดเวลาที่ผมทำหน้าที่ไม่เคยถูกสอบสวนวินัยทางราชการแต่อย่างใด แต่ถ้าหน้าที่ของข้าราชการยังต้องกลายเป็นเบี้ยตัวหนึ่งของฝ่ายการเมือง แล้วจะให้ผมวางตัวอย่างไร และผมจะหนีไปอยู่ตรงไหน ผมคิดว่าคงจะได้รับความเป็นธรรมและความกรุณาจากสภาฯ แห่งนี้ และข้อเท็จจริงที่จะไปสู่ศาลที่ตัดสิน ผมอาจพูดด้วยถ้อยคำรุนแรงที่ใช้อารมณ์ แต่พูดด้วยความจริงใจ เพราะตลอดเวลาผ่านมาผมไม่ได้มีโอกาสชี้แจง ผมเชื่อว่าการกระทำโดยสุจริตในชีวิตราชการของผม พระจะคุ้มครอง แม้ว่าตลอดชีวิตข้าราชการที่ผ่านมา ผมไม่เคยถูกสอบสวนทางวินัย และไม่เคยคิดว่าผมจะได้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ด้วย”

จากนั้นนายพรเพชรได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ให้ผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาแจ้งขอแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันแถลงเปิดคดี ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 29 เม.ย. และหากจะแถลงปิดคดีด้วยเอกสารภายในวันที่ 5 พ.ค. และให้สมาชิกยื่นญัตติซักถามได้ถึงวันที่ 27 เม.ย. เวลา 12.00 น. เพื่อพิจารณาให้มีการซักถามคู่กรณีในวันที่ 30 เม.ย.นี้ พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการซักถามจำนวน 7 คน










กำลังโหลดความคิดเห็น