แถลงผลงานรายกระทรวงวันที่สอง “ยุติธรรม” เป็นพระเอก เผย “อายัดทรัพย์สิน - ยึดจากการแก๊งยาเสพติด 8,357.750 ล้าน - ฟัน ขรก. โกง 198 ราย “กลาโหม” ชี้ “ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ลดลงร้อยละ 62.63 - สูญเสียลดลงร้อยละ 45.89” แรงงาน “ตั้งเป้าหมายให้คนไทยทุกคนต้องมีงานทำ” คลัง ระบุ “มีรายไดนําสงคลัง 970 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากปีก่อน” คมนาคม ย้ำ “ปี 2558 จะมีการลงทุนรวม 55,987 ล้านบาท”
วันนี้ (22 เม.ย.) การแถลงผลงานรายกระทรวงฯ ตามนโยบายรัฐบาล เป็นวันที่สอง เป็นคิวของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม และกระทรวงยุติธรรม “ASTV ผู้จัดการ” เรียบเรียงผลงานที่มีการเผยแพร่ ดังนี้
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ลดลงร้อยละ 62.63 - สูญเสียลดลงร้อยละ 45.89” กระทรวงกลาโหม
- การรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน ถือเป็นภารกิจหลักที่จะต้องมีกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อใช้ในการทำหน้าที่ให้ประชาชนได้เกิดความมั่นใจ มีการจัดตั้งกองกำลังที่ประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รวม 8 กองกำลัง ในการร่วมมือกันรักษาอธิปไตย ตลอดจนดูแลงานตามแนวชายแดน เช่น แรงงานต่างด้าว อาชญากรข้ามชาติ ยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ
- การสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชน โดยการจัดกองกำลังป้องกันชายแดน 8 กองกำลังเพื่อดูแลงานด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจนสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติสุขและไม่มีการรุกล้ำอธิปไตย
- การจัดกำลังทหารสนับสนุนการจัดระเบียบสังคม การจัดชุดมวลชน จัดระเบียบยานพาหนะรับจ้างต่างๆ และมีการจัดกำลังทหารสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ โดยสถิติเหตุการณ์ลดลงร้อยละ 62.63 และจำนวนการสูญเสียลดลงร้อยละ 45.89 เมื่อเปรียบเทียบกับกับห้วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ขั้นสุดท้ายตามโรดแมปของการแก้ไขปัญหา คือ ขั้นการเสริมสร้างสันติสุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
- จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ เพื่อแก้ไขงานมั่นคงทุกมิติให้เกิดความรวดเร็ว แบบ one stop service มีการติดตั้งระบบส่องสว่าง 237,000 และกล้องวงจรปิด 40,000 จุด ในพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องกันอาชญากรรม 63 จังหวัด
- กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทำหน้าที่ดูแลงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก โดยมี กอ.รมน. ภาค 4 ร่วมกับ สมช.บูรณาการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย สำหรับการดูแลรักษาความสงบ ถือเป็นงานของ คสช. ที่ดำเนินการในภาพรวมดูแลรักษาความสงบ โดยปัจจุบันใช้กำลังทหารเป็นเจ้าพนักงานตามคำสั่งมาตรา 44 ร่วมกับ สตช.เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้าย โดพยสามารถจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มกล้องซีซีทีวี เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม การตรวจค้น การตั้งด่านตรวจต่างๆ ตลอดจนการจัดระเบียบสังคมเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย
- การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีการจัดกิจกรรมและโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาวมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87พรรษา 5 ธ.ค. 2557 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เม.ย. 2558 นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับสถาบันหลักของชาติ ทั้งทางสื่อ และบุคคล โดยสามารถตรวจสอบการกระทำที่บ่อนทำลายสถาบันจำนวน 350,000 ครั้ง ตรวจพบเว็บไซต์บ่อนทำลายสถาบันจำนวน 100 เว็บไซต์ และได้แจ้งให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่งผลให้การกระทำที่บ่อนทำลายสถาบันลดลงหรืออยู่ในวงจำกัด
- การปรองดองสมานฉันท์ และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ภาพรวมจะเห็นชัดเจนที่ผ่านมา คือลดน้อยลง ทำให้ความสงบได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีกลุ่มต่อต้านอยู่บ้าง รวมถึงปัญหาความยากจนต่างๆ ความไม่เข้าใจในเรื่องของปัญหาในเรื่องเกษตรกร สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามแก้ไข
- จัดระเบียบเรือประมง และการจัดทำฐานข้อมูลเรือและแรงงานประมง พร้อมกับการตรวจสอบเรือประมง 500 ลำ และสามารถจับกุมเรือที่ทำผิดกฎหมาย 100 ครั้ง โดยศูนย์ประสานงานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ผลการดำเนินการทำให้เกิดการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น
- การแก้ไขปัญหาความยากจน โดยการส่งเสริมเรียนรู้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและการทำเกษตรทฤษฎีใหม่และเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าทางการเกษตร ผ่านการตั้งศูนย์และจัดการอบรมในโครงการต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มความเข้มงวดในการสะกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าทางการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นสาเหตุให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยผลการดำเนินการทำให้เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชน พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
- การช่วยเหลือและบริการประชาชน โดยจัดศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ไฟป่า ภัยแล้ง น้ำท่วม ซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับประชาชน โดยการบูรณาการกำลังทหาร ตำรวจ ป่าไม้ และฝ่ายปกครองในการดูแลรักษา และตรวจสอบการครอบครองพื้นที่ป่าไม้และดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนถึงการพิทักษ์ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อม ผ่านโครงการเฉลิมพระเกียติต่างๆ ซึ่งผลการดำเนินการทำให้มีการเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าต้นน้ำ รวมทั้งการฟื้นฟูระเบบนิเวศน์อย่างยั่งยืนส่งผลให้ประชาชนมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น
- การส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมได้สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศสมาชิกอาเซียน มิตรประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมในกรอบระดับทวิภาคี และเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน เช่น การเข้าประชุมผู้นำทางทหารประจำปี 2557 ที่ประเทศบรูไน จัดกำลังพลปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการกองเรือเฉพาะกิจผสม 151 ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือโดยใช้อาวุธในพื้นที่อ่าวเอเดน ชายฝั่งโซมาเลีย
- การประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียนที่สหภาพพม่า การจัดการฝึก cobra gold 15 มีประเทศเข้าร่วมฝึก 24 ชาติ รวมทั้งสิ้น 11,000 คน การฝึกการแก้ไขปัญหาก่อการร้ายสากลไทย - ออสเตรเลีย Dusk Panther ที่ออสเตรเลีย เป็นต้น
- แผลการดำเนินการในห้วงระยะเวลาต่อไปนั้น เช่น การเตรียมการจัดการประชุม pacific Environmental Security Forum 2015 โดยมีผู้แทนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวน 35 ประเทศ ระหว่าง 8 - 11 มิ.ย. 58 และเตรียมการจัดการประชุมประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ระหว่าง 20 - 24 ก.ค. 58 ที่กรุงเทพฯ เตรียมการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนขึ้นในประเทศไทย มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในเดือน ต.ค. 2558
“อายัดทรัพย์สิน - ยึดจากแก๊งยาเสพติด 8,357.750 ล้าน - ฟัน ขรก. โกง 198 ราย” กระทรวงยุติธรรม
- ภายใต้แนวคิด “ยุติธรรมก้าวหน้า” โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ผลักดันและขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์สำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. การอำนวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ 2. การพัฒนาพฤตินิสัย แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด และป้องกันการกระทำผิด 3. การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 4. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และ 5. การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษและองค์กรอาชญากรรม
- ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ใน 6 ด้าน อาทิ ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ ได้เน้นให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชนในที่ตั้งขององค์กรท้องถิ่น จำนวน 312 ศูนย์ ในพื้นที่ 18 จังหวัด และวางแผนจะจัดตั้งให้ครบทุกตำบล จำนวน 7,255 ศูนย์ ซึ่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค. นี้
- การสร้างสังคมแห่งความปลอดภัย ซึ่งได้ปฏิรูปการฟื้นฟูผู้กระทำความผิด มีการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. .... และ พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. ...ซึ่งการเสนอยกร่าง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เพื่อบริหารจัดการงานราชทัณฑ์ ใน 2 มิติ คือ 1. การปรับปรุงโครงสร้างและระบบการทำงานราชทัณฑ์ และ 2. การปรับปรุงโครงสร้างระบบพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ในส่วนของ พ.ร.บ.คุมประพฤตินั้น จะปรับปรุงบทบัญญัติให้อำนาจศาลสามารถสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจได้ทุกคดี
- การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จากการปฏิบัติโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย โดยความร่วมมือ 4 ประเทศ คือ จีน ลาว พม่า และ ไทย ซึ่งสามารถจับคดียาเสพติดได้ 3,062 คดี ผู้ต้องหา 3,398 คน พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินได้รวมมูลค่ากว่า 116 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังสามารถยึดสารตั้งต้นและสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดได้ 167.175 ล้านเม็ด เป็นจำนวนเงินประมาณ 8,357.750 ล้านบาท
- การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยดำเนินการภายใต้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) โดยร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ป.ป.ท. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรณีที่ ศอตช. ได้รวบรวมรายชื่อข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชัน จำนวน 198 รายชื่อ ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม มีข้าราชการที่มีชื่อในจำนวนดังกล่าว 5 รายชื่อ เป็นข้าราชการสังกัดจากกรมราชทัณฑ์และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งในจำนวนดังกล่าว มีรายชื่อที่ถูกชี้มูลแล้วประมาณ 2 - 3 ราย
- สั่งการให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งหน้าที่แล้ว ทั้งนี้ รายชื่อที่มีอยู่ทั้งหมด 198 รายชื่อนั้น มีทั้งที่ชี้มูลและยังไม่ได้ชี้มูลความผิด ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้กฎหมาย มาตรา 44 ในการดำเนินการ
“ตั้งเป้าหมายให้คนไทยทุกคนต้องมีงานทำ” กระทรวงแรงงาน
- ผลงานกลุ่มแรก คือ ตั้งเป้าหมายให้คนไทยทุกคนต้องมีงานทำ ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษาจบใหม่ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน ผู้พ้นโทษ ทหารที่ปลดประจำการมาแล้ว โดยได้จัดตั้งศูนย์บริการจัดหางาน ทาสีตึกให้เป็นแลนมาร์คเพื่อให้คนจดจำง่าย ขยายเพื่อให้ครอบคลุมผ่านเครือข่ายศูนย์บริการจัดหางานทางอินเทอร์เน็ต 18 กลุ่มจังหวัด
- เปิดศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทยที่หาดใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์ฯ ที่ จ.นครราชสีมา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ ประกอบด้วย นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ สามารถนำคนเข้าสู่การทำงานได้ราว 2 - 2.5 แสนคน จัดส่งคนไปทำงานต่างประเทศ 45,000 คน
- กลุ่มคนที่ต้องดูแลให้มากขึ้น คือ กลุ่มแรกเครือข่ายแรงงานนอกระบบ โดยตั้งศูนย์ประสานงานและสนับสนุนเครือข่ายแรงงานนอกระบบใน 77 จังหวัด โดยรัฐเข้าไปสนับสนุนให้เขาเดินหน้าได้ กลุ่มที่สองเป็นผู้พิการ 1.6 ล้านคน อยู่ในกำลังแรงงานประมาณ 7 แสนคน และอยู่ในช่วงอายุ 16 - 50 ปีที่มีงานทำ 2 แสนกว่าคน ที่เหลือ 3 - 4 แสนคนยังไม่มีงานทำ ตามนโยบายเปลี่ยนภาระให้มาเป็นพลังของสังคม กลุ่มที่สาม เป็นบุคคลพื้นที่สูงใน 20 จังหวัดที่อยู่ในประเทศไทย ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการทำงานได้อย่างยั่งยืน ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯ ที่จะให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลคนเหล่านี้
- การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว เปิดให้แรงงานต่างด้าวมาลงทะเบียนกว่า 1.6 ล้านคน ปัจจุบันมาตรวจสัญชาติเพื่ออนุญาตให้ทำงาน 3 แสนคน ส่วนที่เหลืออีกล้านคนเศษขณะที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการมายื่นเปลี่ยนบัตรใหม่ภายใน 3 เดือนเพื่ออนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักรได้อีก 1 ปี กระทรวงแรงงานได้ตั้งสมมติฐานว่า ในภาวการณ์ปัจจุบัน แรงงานต่างด้าวเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย แต่ควรมีภายใต้กติกาที่เรากำหนด มีจำนวนที่พอเพียงต่อการทำงานของภาคธุรกิจ เหมาะสมกับฝ่ายความมั่นคงที่สามารถควบคุมดูแลได้ สังคมไทยยอมรับและไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนไทย
- ด้านการคุ้มครองแรงงานทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะต้องทำให้สถานประกอบการมีความปลอดภัย ทำให้เขาไม่บาดเจ็บจากการทำงาน ได้กำหนดให้ปี 2558 เป็นปีแห่งการรณรงค์สร้างจิตสำนึกความปลอดภัยในการทำงาน กระทรวงแรงงาน ได้จัด “โครงการสถานประกอบการปลอดภัยเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” มีสถานประกอบการเข้าร่วม 7 พันกว่าแห่ง ในเรื่องการคุ้มครองสิทธิลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง หรือเมื่อออกจากงาน ในปีนี้ได้เน้นย้ำในเรื่องการเจรจาไปสู่ทวิภาคี เพื่อให้เหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่เกิดขึ้นจบได้ที่โรงงาน ไม่นำไปสู่การพิพาทที่ศาลแรงงาน ทำโครงการลูกจ้าง นายจ้าง เอื้ออาทร ร่วมแบ่งปัน สร้างสรรค์สังคมไทย เพื่อชี้ให้เห็นว่านายจ้างกับลูกจ้างต้องอยู่ร่วมกันการส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี GLP เพื่อให้เข้าสู่การทำงานที่เป็นมาตรฐาน
- ด้านการประกันสังคม ปัจจุบันมีเงินกองทุน 1.5 ล้านล้านบาท แต่ในอนาคตเมื่อเข้าสู่สังคมสูงอายุ เงินอาจจะมีการเริ่มลดลง จุดนี้ถือเป็นความยากและท้าทายของงานประกันสังคม แต่กระทรวงแรงงานก็พยายามให้กองทุนประกันสังคมบริหารงานอย่างโปร่งใส เปิดเผย ตรวจสอบได้ แต่ พ.ร.บ.ประกันสังคมที่ออกมาก็ไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีการตรวจสอบจากผู้ประกันตนและแก้ไขกันต่อไป วันนี้ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนมากมาย ประเด็นสำคัญคือ เมื่อ พ.ร.บ. ดังกล่าวออกแล้ว จะมีกฎหมายลูกอีก 17 ฉบับซึ่งจะต้องวางกรอบในการทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน
- การสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งอนุกรรมการ 5 อนุฯ ด้านกฎหมายโดยการออกกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมง และออกกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรม ซึ่งประกาศใช้ไปแล้วเมื่อธันวาคม 2557 ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานสากล ด้านการปฏิบัติเราจะใช้ความพยายามในการทำงานขึ้นไปสู่เป้าหมายสากล ไม่ได้หยุดแค่การรายงานใน Tip Report
- การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU เนื่องจากอียูได้เตือนไทยมาตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้พยายามบูรณาการการทำงาน ทำทั้งเครื่องมือจับปลาให้ถูกกฎหมาย จดทะเบียนเรือ ติดระบบติดตามเรือ Vessel Monitoring System (VMS) เป็นการยกระดับการทำประมงทะเลไทยสู่มาตรฐานสากล และนำไปสู่การปลดแก้ข้อกล่าวหาของประเทศสหรัฐจากบัญชีเทียร์ 3 แต่บางประการอาจจะติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังปรับกฎหมาย พ.ร.บ.ประมงซึ่งอยู่ในสภาฯ กฎกระทรวงของกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กำลังเร่งรัดให้เรือ 30 ตันกรอสขึ้นไปติด VMS ให้กรมประมงจัดตั้งศูนย์ติดตามเรือ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราไม่มีระบบดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล
- การพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน วันนี้เรากำลังเข้าสู่ความเป็นสากล กระทรวงแรงงานได้ปรับปรุงกฎหมายพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ต่อไปนี้ผู้ที่ประกอบอาชีพต่อไปต้องได้มาตรฐาน การทำให้มาตรฐานฝีมือ เข้าสู่มาตรฐานสากลวันนี้เราได้เริ่มในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ โดยร่วมกับผู้ประกอบการในการพัฒนาฝีมือและมอบใบรับรองมาตรฐานฝีมือ ทั้งนี้ การจ่ายค่าตอบแทนจะแปรไปตามมาตรฐานฝีมือ หากไม่มีมาตรฐานทุกคนจะทำงานไปเรื่อยๆ ไม่สามารถพัฒนาไปสู่มาตรฐานสากลได้ ผู้ใช้แรงงานต้องพัฒนาตนเองให้สูงขึ้น เพื่อได้ค่าตอบแทนสูงขึ้น ส่วนผู้ประกอบการเองโดยเฉพาะเอสเอ็มอีต้องลดต้นทุนการผลิตในกระบวนการตั้งแต่การบริหารงาน การลดการสิ้นเปลือง กระทรวงแรงงานได้เข้าไปช่วยเหลือมีสถานประกอบการเข้าร่วม 260 แห่งตามโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานตามความต้องการของสถานประกอบกิจการ
“มีรายไดนําสงคลัง 970 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากปีก่อน” กระทรวงการคลัง
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ 6 เดือนแรกติดลบ ซึ่งเกิดจากปัจจัยสำคัญๆ เช่น เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว นอกจากนั้น เป็นเพราะรัฐบาลที่ผ่านมาละเลยการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่มักใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและประชานิยมที่ทำให้เกิดภาระทางการคลังมากมาย แต่ไม่ช่วยให้ประเทศก้าวข้ามกับดักทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า Middle Income Trap ได้
ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการคลังในฐานะกระทรวงที่รับผิดชอบการบริหารการเงิน การคลังของประเทศ ได้มีส่วนกำหนดและสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญๆ หลายประการ เพื่อช่วยเร่งรัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และวางรากฐานทางเศรษฐกิจเพื่อความแข็งแกร่งในอนาคตของประเทศ
ในภาพรวมภาวะเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายขึ้น มีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่ยังคงเปราะบางอยู่ โดยอัตราการขยายตัวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ครึ่งหลังของปี 2557) มีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 1.4 ต่อปี (เปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี 2557 ที่หดตัวที่ร้อยละ -0.02 ต่อปี) และการขยายตัวด้านต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเปราะบาง ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของประเทศไทยยังคงชะลอตัว ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจจึงจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งในส่วนของภาครัฐ และสนับสนุนบทบาทภาคเอกชน
สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 รัฐบาลมีรายไดนําสงคลัง 970 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากปีก่อน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของรัฐบาลสามารถขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 6.8 ต่อปี สะท้อนการบริโภคภายในประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่รัฐบาลสามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้จำนวน 1.46 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 จากปีก่อน ทำให้สามารถอัดฉีดเงินงบประมาณสุทธิเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการขาดดุลงบประมาณทั้งสิ้น 491.8 พันล้านบาท
ในการนี้ กระทรวงการคลังจึงได้ดำเนินมาตรการสำคัญ ๆ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้นที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการระยะปานกลางถึงระยะยาวที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ลดภาระหนี้และค่าครองชีพของประชาชน สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความโปร่งใส และธรรมาภิบาล ดังนี้
(1) มาตรการระยะ 6 เดือนแรกที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อเร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศจากภาวะที่ประสบปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ
1.1 เร่งรัดเบิกจ่ายเงินค้างชำระโครงการรับจำนำข้าวเปลือก
1.2 การทบทวนเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี
1.3 เร่งรัดการทำสัญญาจ้างรายจ่ายลงทุนปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 และ 2558
1.4 ทบทวนและเร่งรัดเบิกจ่ายงบกลาง (วงเงิน 7,800 ล้านบาท)
1.5 จัดสรรเงินงบไทยเข้มแข็งที่ยังเหลืออยู่ (วงเงิน 15,200 ล้านบาท)
1.6 โครงการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกครัวเรือน (วงเงิน 40,000 ล้านบาท)
1.7 โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (วงเงิน 8,000 ล้านบาท)
1.8 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ประกอบด้วย โครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (วงเงิน 37,603 ล้านบาท) และระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน (วงเงิน 40,692 ล้านบาท)
1.9 การเพิ่มค่าลดหย่อนทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในประเทศ
(2) มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อวางรากฐานระยะยาว เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน
2.1 การปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากร กลุ่มวัตถุดิบ/สินค้าทุน
2.2 การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของ SMEs
2.2.1 ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ SMEs
2.2.2 สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ SMEs กลุ่มต่างๆ เช่น รายย่อย ผู้ส่งออก อิสลาม เป็นต้น
2.2.3 การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) กองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของประเทศ ให้เติบโตและแข็งแรง โดยเข้าร่วมทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ซึ่งจะเป็นการช่วยลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของกิจการ SMEs ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งมากขึ้น โดยได้กำหนดแนวทางให้มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดระหว่างภาครัฐและเอกชน กำหนดขนาดวงเงิน 10,000 - 25,000 ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมลงทุนจากภาครัฐร้อยละ 10 - 50 ส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมลงทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลักโดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพ อาทิ อุตสาหกรรมด้านเกษตร และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับดิจิตอล
2.2.4 การค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
2.3 การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน
2.3.1 การนำเสนอร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ...
2.3.2 การให้ใบอนุญาตสินเชื่อประเภท Nano-Finance เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย และขจัดปัญหาหนี้นอกระบบ สินเชื่อประเภท Nano-Finance มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นิติบุคคลที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดสามารถให้สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น ทั้งนี้ มีผู้สนใจยื่นขอจดทะเบียนแล้ว 15 ราย โดยจำนวน 4 ราย ที่จัดส่งเอกสารครบถ้วนและมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ และอีก 11 รายกำลังตรวจสอบเอกสาร ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการปล่อยสินเชื่อได้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2558
2.4 การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่ประสบปัญหา เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น
2.5 การปรับลดภาษีสรรพสามิตเพื่อส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
(3) มาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการลดภาระหนี้และค่าครองชีพของประชาชน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเสริมสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจของประชาชน
3.1 การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
3.1.1 การส่งเสริมการออมภาคประชาชนผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานที่อยู่นอกระบบ 25 ล้านคน ที่มีอายุ 15 - 60 ปี มีโอกาสสะสมเงินออมตั้งแต่วัยทำงาน และมีรายได้ในลักษณะเงินบำนาญ รวมทั้งจะรับโอนผู้ประกันตนและเงินของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 กรณีบำนาญชราภาพทั้งหมดที่แสดงความจำนงเป็นสมาชิกของ กอช. ส่วนผู้ประกันตนที่ไม่ประสงค์จะเป็นสมาชิก กอช. จะได้รับเงินที่ผู้ประกันตนส่งเข้ากองทุนเงินสมทบจากรัฐ และดอกผลคืนทั้งจำนวน
3.1.2 การนำเสนอพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
3.1.3 โครงการดำเนินการเพื่อการกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 พ.ศ. 2557
3.1.4 อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยเพื่อส่งเสริมให้ชาวนาผู้ปลูกข้าวนาปีมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยธรรมชาติรวมทั้งภัยศัตรูพืชและโรคระบาด
3.2 การลดภาระหนี้และค่าครองชีพของประชาชน
3.2.1 โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
3.2.2 มาตรการให้ความช่วยเหลือจังหวัดชายแดนภาคใต้
3.2.3 การเบิกจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ
3.2.4 การขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน
(4) มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้สามารถเจริญเติบโตไปพร้อมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
4.1 มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC)
4.2 การสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 6 จังหวัด
4.2.1 ลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
4.2.2 สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและการค้ำประกันสินเชื่อ
4.2.3 จัดหาที่ดินราชพัสดุเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
4.2.4 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร
4.2.5 การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (One Stop Service)
4.3 การปรับปรุงพิธีการศุลกากรให้เป็น National Single Window และ ASEAN Single Window
(5) มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทั้งภายในและระหว่างประเทศ สอดคล้องกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งของประเทศ
5.1 การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ของไทย รวมทั้งโครงการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค (Regional Connectivity)
5.2 การออกระเบียบและกฎเกณฑ์ภายใต้ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (Public-Private Partnership: PPP)
(6) มาตรการส่งเสริมความโปร่งใสและธรรมาภิบาล และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอากร เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการภาครัฐให้มีความยั่งยืนและเป็นธรรม
6.1 การปฏิรูปเงินทุนหมุนเวียน
6.2 แนวทางดำเนินงานโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
6.2.1 โครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
6.2.2 โครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST)
6.2.3 แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Market) และ ด้วยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding)
6.3 การปรับปรุงการลดช่องโหว่ในการจัดเก็บภาษีอากร
6.3.1 การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีสำหรับกิจการโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนกวดวิชา
6.3.2 การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล
6.4 การจัดทำพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558
กระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่านโยบายและมาตรการเศรษฐกิจต่างๆ จะสามารถช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและลดค่าครองชีพของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว ทำให้ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ในอนาคตต่อไป
“ปี 2558 จะมีการลงทุนรวม 55,987 ล้านบาท”กระทรวงคมนาคม
จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 เพื่อเสริมสร้างรากฐานความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ ความปลอดภัยและสร้างโอกาสในการแข่งขันให้ประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วย 5 แผนงาน รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,912,681 ล้านบาท โดยในปี 2558 จะมีการลงทุนรวม 55,987 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากดำเนินการได้ตามแผนฯ แล้วเสร็จ จะส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 14.4 สัดส่วนผู้เดินทางระหว่างจังหวัดโดยรถยนต์ส่วนบุคคลลดลงร้อยละ 40 ลดความสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการจราจรทางอากาศเพิ่มขึ้นเป็น 140,000 เที่ยวต่อปี ในปี 2567
กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ 5 เส้นทาง ได้แก่
1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ระยะยทาง 34.5 กม. วงเงิน 56,725 ล้านบาท โดยเตรียมนำเสนอภายในเดือน พ.ค. 58 โดยกำหนดแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 63
2) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ระยะทาง 30.4 กม. วงเงิน 54,768.45 ล้านบาท เตรียมนำเสนอครม.ภายในเดือน พ.ค. 58 กำหนดแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 63
3) Airport Rail Link ส่วนต่อขยาย ช่วงพญาไท - ดอนเมือง ระยะทาง 21.8 กม. วงเงิน 31,139 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 48 เดือน
4) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี หรือพระราม 9 - มีนบุรี เตรียมนำเสนอคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ในเดือน พ.ค. 58 ระยะทาง 21 กม. (ใต้ดิน 12 กม. ทางยกระดับ 9 กม.) วงเงิน 110,325.76 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จในเดือน ส.ค. 63
5) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ - วังบูรพา ขณะนี้ศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียด และเตรียมเสนอครม.ภายในเดือน มิ.ย. 58 พร้อมประกวดราคาประมาณกลางปี 58
ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางแค - พุทธมณฑล คาดว่า ผลการศึกษาจะแล้วเสร็จเดือน ส.ค. 58 เริ่มก่อสร้างปลายปี 59 และกำหนดเปิดให้บริการเดือน เม.ย. 62
ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ครม. ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 25.9 กม. วงเงิน 44,157.76 ล้านบาท อยู่ระหว่างคณะกรรมการ สศช. และ คนร. พิจารณาเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของครม. โดยกำหนดแล้วเสร็จในปี 61
นอกจากนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง ที่อยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีภายในพ.ค.58 ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง สาย กทม.- หัวหิน ระยะทาง 211 กม. วงเงิน 81,136.20 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณา EIA และโครงการรถไฟความเร็วสูง สาย กทม.- พัทยา ระยะทาง 129.1 กม. โดยเส้นทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกทม.-ระยอง ซึ่งได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณา EIA
ส่วนการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ขนาดราง 1 เมตร
1) เส้นทางช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย อยู่ระหว่างการประกวดราคา โดยดำเนินการตามมาตรการความโปร่งใส โดยยกเลิกการประกวดราคาตามข้อท้วงติงของ สตง. คาดประกวดราคาใหม่ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 58 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 61
2) เส้นทางช่วงจิระ - ขอนแก่น จะเสนอครม.พิจารณาอนุมัติโครงการภายใน เม.ย. 58 ประกวดราคาได้ภายในเดือน ก.ค. 58 คาดว่าจะก่อสร้างได้ในเดือน พ.ย. 58 และกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 61
3) เส้นทางช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร โดนผ่าน EIA แล้วเมื่อ 7 ต.ค. 57 เตรียมเสนอ ครม. ภายในเดือน มิ.ย. 58 เริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค. 59 กำหนดแล้วเสร็จปี 62
ส่วนอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ, ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และช่วงนครปฐม - หัวหิน อยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมประสานติดตามผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ
การดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ล่าช้ากว่าแผน เนื่องจากงานมีความซับซ้อนและต้องมีการปรับแผนงาน ซึ่งกระทรวงจะจัดเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเข้าไปช่วยเหลือ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่หลักแล้วแหล่งทุนจะมาจากเงินกู้ในประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ระยะยาว พ.ศ. 2558 - 2565 เพื่อเสริมสร้างรากฐานความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ ความปลอดภัย และสร้างโอกาสสำหรับการแข่งขันและให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุดจากการเป็นประชาคมอาเซียน
ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยดังกล่าว ประกอบด้วย 5 แผนงานได้แก่ 1) การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง 2) การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพฯและปริมณฑล 3) การเพิ่มขีดความสามารถทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 4) การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ และ 5) การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางอากาศ รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,912,681 ล้านบาท โดยในปี 58 จะมีการลงทุนรวมประมาณ 55,987 ล้านบาท
โดยกระทรวงเร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2558 โดยในไตรมาส 2 มีการเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน 58,308.44 ล้านบาทคิดเป็น 40.32% สูงกว่าแผนวางไว้ 45,225.54 ล้านบาท คิดเป็น 31.28%
เมื่อดำเนินการตามแผนฯแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ลดลงไม่น้อยกว่า 2% จากเดิมอยู่ที่ 14.4% สัดส่วนผู้เดินทางระหว่างจังหวัดโดยรถยนต์ส่วนบุคคลลดลง 40% ความเร็วเฉลี่ยของรถไฟขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 60% ความเร็วเฉลี่ยของขบวนรถโดยสารเพิ่มขึ้น 100% สัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำเพิ่มขึ้น 19% ลดความสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท/ปี และขีดความสามารถในการบริหารจัดการจราจรทางอากาศเพิ่มขึ้นเป็น 1.40 ล้านเที่ยว/ปี (ปี 2567)