รมว.กลาโหม พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมแถลงผลงานด้านความมั่นคงในรอบ 6 เดือน ทั้งการตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ การรักษาอธิปไตย เทิดทูนสถาบัน สกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายจากต่างประเทศ ดูแลความสงบในพื้นที่ภาคใต้ ลดความขัดแย้ง เดินหน้าสร้างความปรองดองเพื่อให้เกิดความสุขแก่ประชาชน
ที่กระทรวงกลาโหม วันนี้ (22 เม.ย.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการแถลงผลงานรอบ 6 เดือนของประทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัชมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.ร.อ.ไกรสรณ์ จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เสนาธิการทหารอากาศ ร่วมการแถลงผลงาน
พล.อ.ประวิตรแถลงว่า กระทรวงกลาโหมที่มีหน้าที่ครอบคลุมเรื่องความมั่นคง การรักษาอธิปไตยของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศและประชาชนซึ่งงานของกระทรวงกลาโหมมีหลากหลายทั้งเรื่องการรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน ถือเป็นภารกิจหลักที่เราจะต้องมีกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อใช้ในการทำหน้าที่ให้ประชาชนได้เกิดความมั่นใจว่าเราสามารถอยู่ได้ จึงได้มีการจัดตั้งกองกำลังที่ประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รวม 8 กองกำลัง ในการร่วมมือกันรักษาอธิปไตย ตลอดจนดูแลงานตามแนวชายแดน เช่น แรงงานต่างด้าว อาชญากรข้ามชาติ ยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ สิ่งจากนอกประเทศเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าสู่ภายในประเทศของเราได้
นอกจากนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทำหน้าที่ดูแลงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก โดยมี กอ.รมน.ภาค 4 ร่วมกับ สมช.บูรณาการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย สำหรับการดูแลรักษาความสงบ ถือเป็นงานของ คสช. ที่ดำเนินการในภาพรวมดูแลรักษาความสงบ โดยปัจจุบันเราใช้กำลังทหารเป็นเจ้าพนักงานตามคำสั่งมาตรา 44 ร่วมกับ สตช.เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้าย ซึ่งถ้าเกิดเหตุร้ายแล้วจะต้องจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มกล้องซีซีทีวี เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม การตรวจค้น การตั้งด่านตรวจต่างๆ ตลอดจนการจัดระเบียบสังคมเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย
ทั้งนี้ งานด้านความมั่นคงนั้นมีมากมาย เจ้าหน้าที่และกำลังพลทุกคนได้ร่วมมือกันเพื่อดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย ทำอย่างไรที่ลดความขัดแย้งภายในประเทศ เพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริงและถาวร ตลอดถึงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์
“กระทรวงกลาโหมดำเนินการทุกเรื่องเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย แต่ยอมรับว่ายังมีคนทำให้เกิดความไม่มั่นคง และสร้างความขัดแย้งในสังคม ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องสร้างความเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย ซึ่งปัจจุบันนี้สถานการณ์มีความเรียบร้อยพอสมควร แม้ว่าประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในทหารและตำรวจว่าสามารถทำได้ แต่มีหลายอย่างหลายคนทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของทุกคนต้องดำเนินการ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย ประเทศเดินไปข้างหน้า ซึ่งรัฐบาลชุดนี้พร้อมชี้แจงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน”
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับการดูแลเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เรามีกฎหมายดูแลอยู่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ส่วนราชการตอลดจนถึงประชาชนที่ต้องร่วมมือกันดูแล ช่วยกันรักษาปกป้องสถาบันให้คงอยู่ไปชั่วกัลปาวสาน ถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า กระทรวงกลาโหมได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งซึ่งในภาพรวมจะเห็นชัดเจนที่ผ่านมาคือลดน้อยลง ทำให้ความสงบได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีกลุ่มต่อต้านอยู่บ้าง ดังนั้นกลุ่มที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆ จะต้องหยุดก่อน เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้เกิดความปรองดอง และมั่นคงถาวร ซึ่งสิ่งนี้สามารถจับต้องได้โดยไม่มีคนเกะกะระรานสร้างความวุ่นวาย แต่ก็มีบ้างในปัญหาความยากจนต่างๆ ความไม่เข้าใจในเรื่องของปัญหาในเรื่องเกษตรกร สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามแก้ไข
ผู้สื่อข่าวถามว่า อุปสรรคในการทำงานของรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะเรื่องความปรองดองจะเดินหน้าคืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริงได้อย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล ต่อไปพื้นฐานที่รัฐบาล และ คสช.ดำเนินการ และรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็ดำเนินการต่อ ก็จะมีความสุขอย่างถาวร ไม่มีความขัดแย้ง ถ้าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ได้ออกมา
เมื่อถามย้ำว่า ช่วงระยะเวลาที่เหลือในการบริหารประเทศของรัฐบาลและ คสช. มั่นใจจะคืนความสุขให้ประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า คืนชัดเจน ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานมุ่งหวัง และตั้งใจคืนความสุขให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ตั้งแต่ก่อนวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ทุกคนมีความเดือดร้อน ไปมาหาสู่ไมได้ มีความหวาดระแวง แต่ปัจจุบันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีแล้ว
จากนั้นมีการฉายวีดิทัศน์ผลงานของกระทรวงกลาโหมเป็นเวลา 15 นาที โดยสรุปถึงผลงานที่ผ่านมาในด้านการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชน โดยการจัดกองกำลังป้องกันชายแดน 8 กองกำลังเพื่อดูแลงานด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจนสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติสุขและไม่มีการรุกล้ำอธิปไตย
นอกจากนี้ ได้จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ เพื่อแก้ไขงานมั่นคงทุกมิติให้เกิดความรวดเร็ว แบบ one stop service มีการติดตั้งระบบส่องสว่าง 237,000 และกล้องวงจรปิด 40,000 จุดในพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องกันอาชญากรรม 63 จังหวัด
ขณะเดียวกันยังมีการจัดกำลังทหารสนับสนุนการจัดระเบียบสังคม การจัดชุดมวลชน จัดระเบียบยานพาหนะรับจ้างต่างๆ และมีการจัดกำลังทหารสนับสนุนการปฎิบัติภารกิจใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ โดยสถิติเหตุการณ์ลดลงร้อยละ 62.63 และจำนวนการสูญเสียลดลงร้อยละ 45.89 เมื่อเปรียบเทียบกับกับห้วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ขั้นสุดท้ายตามโรดแมปของการแก้ไขปัญหา คือ ขั้นการเสริมสร้างสันติสุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ส่วนการดำเนินการจัดระเบียบเรือประมง และการจัดทำฐานข้อมูลเรือและแรงงานประมง พร้อมกับการตรวจสอบเรือประมง 500 ลำ และสามารถจับกุมเรือที่ทำผิดกฎหมาย 100 ครั้ง โดยศูนย์ประสานงานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ผลการดำเนินการทำให้เกิดการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น
ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยการส่งเสริมเรียนรู้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและการทำเกษตรทฤฎีใหม่และเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าทางการเกษตร ผ่านการตั้งศูนย์และจัดการอบรมในโครงการต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มความเข้มงวดในการสะกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าทางการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นสาเหตุให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยผลการดำเนินการทำให้เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชน พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
สำหรับการช่วยเหลือและบริการประชาชน โดยจัดศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ไฟป่า ภัยแล้ง น้ำท่วม ซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับประชาชน โดยการบูรณาการกำลังทหาร ตำรวจ ป่าไม้ และฝ่ายปกครองในการดูแลรักษา และตรวจสอบการครอบครองพื้นที่ป่าไม้และดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนถึงการพิทักษ์ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างสภาพแวดล้อม ผ่านโครงการเฉลิมพระเกียติต่างๆ ซึ่งผลการดำเนินการทำให้มีการเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าต้นน้ำ รวมทั้งการฟื้นฟูระเบบนิเวศน์อย่างยั่งยืนส่งผลให้ประชาชนมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น
ในด้านการส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมได้สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศสมาชิกอาเซียน มิตรประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมในกรอบระดับทวิภาคี และเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน เช่น การเข้าประชุมผู้นำทางทหารประจำปี 2557 ที่ประเทศบรูไน จัดกำลังพลปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการกองเรือเฉพาะกิจผสม 151 ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือโดยใช้อาวุธในพื้นที่อ่าวเอเดน ชายฝั่งโซมาเลีย
การประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียนที่สหภาพพม่า การจัดการฝึก cobra gold 15 มีประเทศเข้าร่วมฝึก 24 ชาติ รวมทั้งสิ้น 11,000 คน การฝึกการแก้ไขปัญหาก่อการร้ายสากลไทย-ออสเตรเลีย Dusk Panther ที่ออสเตรเลีย เป็นต้น เรื่องการเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีการจัดกิจกรรมและโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาวมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87พรรษา 5 ธ.ค. 2557 และสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เม.ย. 2558 นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับสถาบันหลักของชาติ ทั้งทางสื่อ และบุคคล โดยสามารถตรวจสอบการกระทำที่บ่อนทำลายสถาบันจำนวน 350,000 ครั้ง ตรวจพบเว็บไซต์บ่อนทำลายสถาบันจำนวน 100 เว็บไซต์ และได้แจ้งให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่งผลให้การกระทำที่บ่อนทำลายสถาบันลดลงหรืออยู่ในวงจำกัด
สำหรับแผลการดำเนินการในห้วงระยะเวลาต่อไปนั้น เช่น การเตรียมการจัดการประชุม pacific Environmental Security Forum 2015 โดยมีผู้แทนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวน 35 ประเทศ ระหว่าง 8-11 มิ.ย. 58 และเตรียมการจัดการประชุมประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ระหว่าง 20-24 ก.ค.58 ที่กรุงเทพฯ เตรียมการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนขึ้นในประเทศไทย มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในเดือน ต.ค. 2558