xs
xsm
sm
md
lg

“วิลาศ” ผิดหวังรัฐไม่จริงจังสอบโกงอย่างที่พูด ชี้จับแต่ตัวเล็กๆ จ่อร้อง ป.ป.ช.ต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์(แฟ้มภาพ)
อดีต ส.ส.กทม.ผิดหวัง คสช.สอบทุจริตสภาไร้คืบหน้า ยกหลักฐานมัดตั้งโครงการเบิกเงินแต่ไม่ดำเนินการจริง ชี้งบน้อยยังโกง โครงการใหญ่ไม่เหลือ ฉะ “พรเพชร” ไม่จริงจังสอบ ให้คนโกงเอาเงินมาคืนแล้วจบ ข้องใจเลขาฯ สภาปกป้องคนโกง ยันร้อง ป.ป.ช.จัดการ แนะสื่อตามปราบโกงอย่างพูดหรือไม่ เชื่อทำไม่จริง ยกเคสตัดไม้จับแต่ตัวเล็กๆ จี้เอาจริงต้องใช้ชุดเฉพาะกิจแทน จนท.ปกติ

วันนี้ (5 เม.ย.) นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสภาผู้แทน ราษฎร ติดตามการทุจริตของสภาอย่างต่อเนื่อง แสดงความผิดหวังต่อการตรวจสอบการทุจริตในสภาซึ่งได้มีการร้องเรียนไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กว่า 20 เรื่อง รวมมีความเสียหายราว 500 ล้านบาท แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งๆ ที่ในช่วงร้องเรียนคือช่วงแรกๆ ที่ คสช.เข้ามาดูแลบ้านเมือง

“ผมก็ยังหวังอยู่ว่าเขาจะทำ แต่ไม่รู้ว่าชีวิตไหน เพราะตอนที่ร้องถือว่ากำลัง คสช.แรงสุดแล้ว แต่ตอนนี้มีแต่ความเฉื่อย” นายวิลาศกล่าว

นายวิลาศยังได้ยกตัวอย่างโครงการที่เห็นชัดเจนว่ามีการทุจริตโดยฝ่ายการเมืองและมีข้าราชการให้ความร่วมมือด้วย คือ กรณีของนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาคนที่ 1 เกี่ยวกับการขออนุมัติงบประมาณกว่า 1.3 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเผยแพร่ประชาธิปไตยรวม 5 โครงการ 5 โครงการเริ่ม 8 ม.ค. 56 - 13 ม.ค. 56 เป็นการตั้งโครงการเพื่อเบิกเงินแต่ไม่มีการดำเนินการจริง โดยของบประมาณทั้งหมดรวม 1.43 ล้านบาท โดยมีการใช้เงินทดรองจ่ายจากราชการทั้งหมด และนำมาคืนสำนักคลังว่าเป็นเงินเหลือจ่ายในวันที่ 28 ก.พ. 56 จำนวน 72,620 บาท ซึ่งเป็นการคืนเงินที่ผิดระเบียบเพราะคืนช้ากว่า 15 วันตามระเบียบราชการ เท่ากับว่าทั้ง 5 โครงการมีการใช้เงินราชการไปแล้ว 1.3 ล้านบาท

นายวิลาศกล่าวว่า แม้อีก 4 โครงการจะไม่มีหลักฐานว่าทุจริต แต่เชื่อว่าจะมีลักษณะเดียวกันกับกรณี โครงการเผยแพร่ประชาธิปไตยโดยนำนักเรียนจากเชียงรายมาที่สภา ที่ถูกเปิดโปงออกมาเพราะข้าราชการเขาไม่ยอมเซ็นเบิกเงินให้เพราะเขาไม่รู้เรื่องจึงมีการร้องเรียนเกิดขึ้น ส่วนอีก 4 โครงการข้าราชการยอมเซ็นทำให้ไม่มีการร้องเรียนเกิดขึ้น เงินเหล่านี้เชื่อว่าไหลไปที่นักการเมืองและข้าราชการที่ร่วมมือด้วย และอยากตั้งข้อสังเกตว่าขนาดโครงการเล็กๆ เงินล้านกว่าบาทยังเอา แล้วโครงการใหญ่ๆ จะไม่งับหรือ

อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า หลักฐานที่มัดว่าไม่มีการดำเนินโครงการจริงคือ มีการอ้างกิจกรรมว่าจำลองการประชุมสภาและการประชุมกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากในวันดังกล่าวสภามีการจัดกิจกรรมวันเด็ก (เสาร์ที่ 12 ม.ค. 56) ให้เยี่ยมชมรัฐสภาจะจัดประชุมจำลองได้อย่างไร ทั้งนี้ หลังจากที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการเขียนโครงการหลอกแต่ไม่ดำเนินการจริง ตนจึงได้ทำหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. แต่ก็พบว่าท่านไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร เพียงแค่ให้นายเจร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปตรวจสอบ

“จนกระทั่งวันที่ 20 ก.พ. 58 ผมก็ไปตามเรื่องอีกครั้ง ได้รับคำตอบจากนายพรเพชรว่าสำนักงานเลขาสภาฯ ทำหนังสือแจ้งว่านายเจริญนำเงินส่วนตัวชดใช้โครงการทั้งหมดแล้ว สภาไม่เสียหาย การทุจริตไม่มี ไม่ต้องสอบสวนทุกอย่างยุติ ผมก็บอกว่าอย่างนี้ไม่ได้เพราะการทุจริตเกิดขึ้นแล้ว ถ้าสภาไม่ทำก็จะไปร้อง ป.ป.ช. นายพรเพชรยังยุให้ผมไปดำเนินการดังกล่าว เหมือนกับว่าหน้าที่ของสภาจบแล้ว ไม่ได้ใส่ใจอะไร ทั้งๆ ที่มีความเห็นจากกฤษฎีกาว่า การทำผิดเกิดขึ้นแล้ว ถ้านายพรเพชรจริงจังกับเรื่องทุจริตก็ควรตั้งกรรมการสอบทั้ง 5 โครงการ ไม่ใช่ยุติเรื่องตามความเห็นของทางราชการ” นายวิลาศกล่าว

“การทุจริตสำเร็จแล้ว เมื่อขอเอกสารก็ทยอยส่งมา อีก 4 โครงการก็มั่นใจว่าจะเป็นทำนองเดียวกันหมด เพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบกล้าไปเซ็นรับผิดชอบ สาเหตุที่เชื่อว่าไม่ได้ทำจริง เพราะโครงการเขียนว่ามีการจัดสัมมนาที่สภา แต่ในวันเด็กจะมีการจัดสัมมนาเผยแพร่ประชาธิปไตยเป็นไปได้อย่างไร อีกทั้งรายการผู้มาเยี่ยมสภาตั้งแต่ปี 55-56 ปรากฏว่าไม่มีสิ่งที่อ้างตามโครงการของนายเจริญเลย การเบิกเงินทั้งหมดก็ทำตามอำเภอใจ ในสัญญาโครงการเดียวกันมีสัญญาค่ารถ 2 สัญญา อ้างว่ามีการแก้สัญญาเพื่อเปลี่ยนวงเงิน” นายวิลาศกล่าว

นายวิลาศกล่าวว่า ได้ขอข้อมูลย้อนหลังในโครงการสัมมนาสมาคมชาวไร่อ้อยวันที่ 25-26 ธ.ค. 56 และ 26-27 ธ.ค. 56 นำชาวบ้านจาก จ.ชัยภูมิ มาสัมมนา มีการเลี้ยงอาหาร โดยชุดแรกมีอาหารกลางวัน ผู้รับจ้างจัดเลี้ยงชื่อนางสมลักษณ์ มงคล ที่พบพิรุธคือเมื่อมีการเซ็นเบิกเงินต้องมีสำเนาบัตรประชาชนด้วย แต่สำเนาที่แนบมาคือ นายสมลักษณ์ แต่กลับเซ็นชื่อในการรับรองสำเนาตัวเองผิด เป็นไปได้หรือรับรองบัตรสำเนาตัวเองผิด แต่โครงการนี้มาสภาจริงเพียงแต่เบิกเงินมั่ว จึงตามต่อพบว่า น.ส.ลักขณา งามเที่ยง เป็นข้าราชการที่รับผิดชอบโครงการนี้ เมื่อไปตรวจสอบลึกลงไปก็พบว่ามีการเซ็นต์ชื่อเข้าทำงานวันที่ 26 ธ.ค. 56 แต่มีการเบิกค่าโรงแรมวันที่ 27 ธ.ค. 56 แต่ก่อนหน้านั้นมีหลักฐานว่ากลับมาทำงานแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรว่ามีการพักจริงเพราะตัวอยู่กรุงเทพฯ แต่เบิกที่พักต่างจังหวัด

นายวิลาศตั้งข้อสังเกตว่า เลขาสภาฯ มีเจตนาที่จะปกป้องผู้กระทำความผิดเพราะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ อ้างว่าคืนเงินแล้วยุติเรื่อง ตนจะไปร้องต่อ ป.ป.ช.ทั้งตัวเลขาฯ สภา นายเจริญ จรรย์โกมล อดีตรองประธานสภาคนที่ 1 และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง เพราะถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป ประเทศไทยจะมีดัชนีความโปร่งใสที่สุดในโลกคือ ไม่มีการทุจริตเลยเพราะโกงแล้วเอาเงินมาคืนถือว่าไม่ผิด

ทั้งนี้ยังเรียกร้องให้ประธาน สนช.ควรจะจี้ให้สำนักเลขาฯ ตั้งกรรมการสอบ ต้องแอ๊คชั่นบ้าง ไม่ใช่เชื่อว่าไม่เสียหายแล้วยุติ เพราะเป็นการทุจริตแล้ว แล้วก็ไม่ทำอะไร ยุให้ตนไปฟ้อง ป.ป.ช. บอกตนเต็มปากเต็มคำไม่เสียหายแล้วจะสอบต่อ จึงอยากให้ช่วยพิจารณาว่าการใช้ดุลพินิจ ไม่อยากพูดเพราะมีส่วนได้เสีย อยากให้สื่อหาข้อมูลว่าที่ประกาศปราบปรามการทุจริตนั้นเป็นความจริงตามคำพูดหรือไม่

“ผมไม่เชื่อว่าจะมีการเอาจริงเอาจังเหมือนที่ประกาศว่าจะกวาดล้างการทุจริต เพราะมีหลายเรื่องที่พิสูจน์ แล้ว เช่น กรณีโซ่เลื่อยยนต์ เพราะมีการหยอดน้ำข้าวต้มไว้ทั่วเลย มีการพูดเลยว่าทหารก็กินข้าวเหมือนกัน เรื่องนี้สร้างความเสียหายเยอะมาก มีการไล่จับคนตัดไม้ ทำลายป่า จับได้แต่ลูกจ้าง ตัวใหญ่ไม่เคยจับได้ และไม่มีการจับคนขายเครื่องมือ ทำให้กลายเป็นผึ้งแตกรัง หาความจริงยากขึ้น” นายวิลาศกล่าว

“ท่านนายกฯ ควรตั้งชุดเฉพาะกิจไปตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ แทนที่จะใช้เจ้าหน้าที่ปกติ เพราะไม่สามารถไว้วางใจได้ ที่ผ่านมาผมได้ให้ข้อมูลต่อ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรฯ ไปหมดแล้ว โดยทางรัฐมนตรีก็บอกจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ ผมก็บอกว่าไม่ได้ผลหรอก เพราะคนที่ร้านบอกว่าหยอดข้าวไว้หมดแล้วในเขตพื้นที่อีสานเคลียร์ได้หมดทุกหน่วย นายกฯ พูดทุกวันเรื่องปราบทุจริต การทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติ ถ้าต้องการเอาจริงก็ต้องวางแผนส่งคนเข้าไปจัดการ มีชุดเฉพาะกิจทำหน้าที่โดยเฉพาะแทนที่จะใช้เจ้าหน้าที่ปกติ” นายวิลาศกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น