xs
xsm
sm
md
lg

สาเหตุ “ลุงตู่โมโหกว่าเดิม” สารพัดปัญหารุมเร้า-ไม่ได้ดังใจ!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นอารมณ์แบบโมโหของ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อสื่อมวลชน โดยมีการแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดเอากับสื่อบางสำนักบางประเภท ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนนั้นย่อมต้องมีสื่อ เอเอสทีวีผู้จัดการ เป็นเจ้าประจำ มีการตอบโต้รุนแรงเข้าใส่คอลัมนิสต์บางคน เพียงแต่ว่าคราวนี้อาจพิเศษเข้ามาก็คือพ่วงเอาสื่อค่ายมติชนเข้ามาเพิ่ม และได้รับรู้ข้อมูลที่ยืนยันชัดเจนแบบเป็นทางการว่าในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยซื้อแต่หนังสือพิมพ์มติชน เท่านั้น

ก็ทำให้ได้รับรู้ข้อมูลว่าสาเหตุใดที่ ค่ายมติชนถึงได้นิยมชมชอบและเชียร์รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เชียร์ครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร กันนัก อีกทั้งภายใต้อารมณ์โมโหของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังได้ปรามออกมาว่า “อย่าเขียนเข้าข้างพวกโน้นมากเกินไปนัก” พวกโน้นก็น่าจะหมายถึงพวก ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์และพวกคนเสื้อแดงที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน

วกมาที่อารมณ์โมโหแบบองค์รวมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกทีก็ต้องบอกว่า เกือบทะลุ “ปรอทแตก” ได้ทีเดียว เพราะเขายอมรับว่า “โมโหมากกว่าเดิม”

“อะไรกันนักหนา ผมไม่เข้าใจ จะต้องเมื่อนี่เมื่อนั่น โดยเฉพาะของผู้จัดการ เปิดอ่านดูไม่ได้สักหน้าหนึ่ง เป็นบ้ากันไปหรืออย่างไร เขียนอะไรไม่รู้กันทุกวัน จะเอาอะไรกันนักหนา เก่งนักหนา มึงมาบริหารงานมา มาเป็น ส.ส. เลย ไอ้ชัชวาลย์ (ชาติสุทธิชัย คอลัมนิสต์) ไอ้โสภณ (องค์การณ์ คอลัมนิสต์) พวกนี้ รัฐบาลนี้พูดจาแบบนี้จะว่าผมก็ว่ามา ยังไงก็รับอยู่แล้ว แต่ผมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนายกฯ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็มีจิตใจ มีชีวิตและจิตใจ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การพิจารณาคดีทางการเมืองอย่าไปสนใจ ให้เขาเดินหน้าไปตามกระบวนยุติธรรม อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์กันนัก เพราะเขาทำงานไม่ง่าย ถ้าเรามัวแต่คล้อยตามไปมาแบบนี้ ศาลก็ลำบาก วันนี้ฝ่ายต่อต้านกระบวนการยุติธรรม ถามว่ายอมรับความผิดอะไรบ้างหรือยัง สักอย่าง ยังไม่มีเลย และตนก็ไม่ได้บอกว่าเขาผิด เขาเป็นเพียงผู้ต้องหาก็ไปสู้คดีกัน แต่ขอร้องว่าอย่ามาสู้นอกศาล สื่อก็ไปขยายความกันเรื่อยเปื่อย เวลาศาลตัดสินว่าไม่ผิด ทำไมไม่โวยแต่พอผิดก็ออกมาโวยว่าไม่เป็นธรรม ส่วนความผิดอื่นๆ ที่มีการยกฟ้องกลับไม่พูดถึง อย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน คนเหล่านี้ใช้ได้หรือไม่ก็ต้องคิดดู

“เสรีภาพให้ก็ให้แล้ว ทุกอย่างไม่เคยห้ามอะไรเลย ไม่มีใครเขาให้แบบนี้หรอก เดี๋ยวผมจะดูอีกระยะหนึ่งนะสำหรับการทำงานของสื่อ ที่ผมและรัฐบาลทำมาทั้งหมดก็เพื่อคนไทยทุกคน แต่พอจะมีกลไกอะไรต่างๆ ออกมาก็ไม่ยอมกันจะกลับไปยืนที่เก่า สื่อก็คล้อยตามกันไปเรื่อย ยิ่งทำให้สังคมแตกแยก แล้วผมจะได้อะไรขึ้นมากับสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ใช่การเมือง ผมไม่ได้ผลประโยชน์ ผมไม่มีธุรกิจ ที่พูดไม่ได้มาทวงบุญคุณอะไร ทั้งหมดผมทำให้คนไทย ถ้าใครมันไม่เข้าใจ มันก็ไม่ใช่คนเท่านั้น สื่อต้องช่วยกัน ต่อจากนี้ผมจะดูทุกสื่อและถ้าจำเป็นผมก็จะใช้อำนาจของผมทุกคน ไม่ได้ ไม่ให้มาวิจารณ์ วิจารณ์ได้แต่ต้องเข้าใจเสียหน่อย วันนี้คำสั่ง คสช. มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หรือลืมกันไปหมดแล้ว ลืมหรืออย่างไร สบายกันเกินไปแล้วมั้ง”

“สื่อใดที่เสนอข่าวสร้างความแตกแยกก็จะให้ทางสมาคมฯ ดำเนินการสอบมา แล้วถ้าสมาคมไม่ได้เรื่อง ผมก็จะให้คณะข้างบนเขาสอบต่อ เอามาตีดูสิว่าไอ้นี่มันสร้างความแตกแยกหรือไม่ ถ้าวิจารณ์ทั่วๆ ไป ผมไม่ว่า ติติงนิดหน่อยผมก็รับได้นะ แต่ถ้าพูดทุกวันว่าล้มเหลว มันจะล้มเหลวได้อย่างไรวะ ก็ของเก่ามันยิ่งกว่าล้มเหลวอีก เมื่อเราเข้ามาแก้จากความล้มเหลวเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น คิดแบบนี้กันบ้างสิ”

เมื่อถามว่าจะถึงขั้นปิดสื่อเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่ามาหาเรื่องให้ตนต้องไปรบกับสื่อเลย เมื่อถามย้ำว่า บทลงโทษคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทันทีว่า “ประหารชีวิตมั้ง ถามส่งเดชไปได้ ก็อย่าทำกันสิ ระมัดระวังกันหน่อย สื่อต้องมีวิจารณญาณ มีจรรยาบรรณกันหน่อย เห็นเรียกร้องอยากได้จรรยาบรรณกันนักหนา ให้ไปแล้วก็ใช้ไม่เป็น ไม่รู้จักใช้ อะไรที่เป็นความร่วมมือเพื่อทำให้ประชาชนก็ต้องมาร่วมมือกัน อะไรที่เป็นความขัดแย้งก็ต้องพอๆ เพราะเห็นว่ารัฐบาลเขากำลังทำงานอยู่ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยเห็นสักฉบับไม่มีเลย มีน้อยมากหรือมีแค่บางคนเท่านั้น ผมไม่ได้ขอให้เชียร์”

เมื่อพิจารณาจากคำพูดที่พรั่งพรูออกมาเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหอย่างที่ว่า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาจากสาเหตุและองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย หากสังเกตในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดถึงเรื่อง “การทะเลาะกัน และผมเฝ้าดูอยู่"และให้น้ำหนักกับงานด้านความมั่นคงโดยย้ำว่าเมื่อบ้านเมืองมีความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ก็จะมั่นคงตามไปด้วย พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้เลือกใช้แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพียงคนเดียว และถัดมาก็มีการเรียก พล.อ.ประวิตร และ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล เข้าหารือร่วมกันเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา จากนั้นก็ยืนยันว่า “ไม่มีเกาเหลา”

ขณะเดียวกัน อีกสาเหตุสำคัญที่เชื่อว่าทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โมโหแรงกว่าเดิมเห็นจะเป็นเรื่องผลงานด้านเศรษฐกิจที่ยังไม่เข้าเป้า ตัวเลขการส่งออกไตรมาสแรทำท่าติดลบ ราคาสินค้าเกษตรไม่กระเตื้อง การเก็บรายได้ยังต่ำกว่าเป้า จนทำให้หลายหน่วยงานต้องมีการรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงจากเดิมที่คาดว่าจะโตร้อยละ 4 เป็นเหลือต่ำสุดแค่ร้อยละ 2.8 (จากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) จนล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เผยว่าได้สั่งให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ไปเชิญบรรดานักธุรกิจ ภาคธนาคารมาทำความเข้าใจในเรื่องการขับเคลื่อนเศณษฐกิจที่มีปัญหาและช่วยกันหาทางแก้ไข ไม่ใช่ออกมาวิจารณ์ แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากภายนอกที่เหนือการควบคุม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องชี้มาที่รัฐบาลและผู้นำอยู่ดี

ดังนั้น หากพิจารณาจากอารมณ์โมโหของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมมีสาเหตุหลายอย่างที่ประดังเข้ามาพรัอมๆกัน และที่ทำคัญภารกิจหลายอย่างมันยังไม่เข้าเป้า แม้ว่าจะทุ่มเทแก้ปัญหาเพียงใดก็ตาม บางอย่างติดที่ระบบราชการ บรรดาข้าราชการที่ “เกียร์ว่าง” ขณะเดียวกัน บรรดาเครือข่ายทักษิณ ก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหวป่วนกันมากขึ้น ในเมื่อไม่ใช่พระอิฐพระปูนเป็นใครก็ย่อมปรี๊ดแตกเป็นธรรมดา !!
กำลังโหลดความคิดเห็น