รองนายกฯ แจงข้อกฎหมาย คดียักยอกเงินยอมความไม่ได้ ต้องเดินหน้าต่อ ส่วนที่วัดพระธรรมกายคืนเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนถือว่าจบแล้วในคดีแพ่ง ชี้เงิน 684 ล้านบาทที่คืนให้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ออกไปจากสหกรณ์ฯ เจ้าหน้าที่ต้องตามต่อ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวถึงกรณีวัดพระธรรมกาย ยอมคืนเงินให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น 684 ล้านบาท หลังศาลจังหวัดธัญบุรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นัดไกล่เกลี่ยเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า คดีมี 3 ประเภท ได้แก่ 1. คดีอาญา ประกอบด้วยข้อหาฉ้อโกงประชาชน และยักยอกเงิน เรื่องใดที่ไม่ใช่ความผิดที่ยอมความได้ จะยอมความไม่ได้ ต้องเดินหน้าต่อไป 2. คดีสหกรณ์ฯ ฟ้องเรียกคืนเงินจากวัดพระธรรมกาย 684 ล้านบาท เรื่องนี้จบลงเมื่อวันที่ 16 มี.ค.แล้ว และ 3. คดีล้มละลาย เป็นเรื่องเจ้าหนี้กับสหกรณ์ฯ ที่มีการฟ้องล้มละลาย ต้องมีการเดินหน้าต่อ โดยจะมีการไต่สวนกันอีกภายใน 45 วัน
ดังนั้น บางเรื่องอาจจบ บางเรื่องอาจจะไม่จบ แต่อย่างน้อยเป็นการแสดงเจตนาดี เพราะสิ่งแรกที่รัฐบาลต้องการ คือ เอาเงินกลับคืนมาให้ได้ก่อนเพื่อจะไปเยียวยาสมาชิกสหกรณ์ฯ ที่มีอยู่จำนวนมาก ขณะนี้สำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเงิน 684 ล้านบาท ไม่ใช่เงินจำนวนทั้งหมดที่ออกไปจากสหกรณ์ฯ พยายามดูว่าเงินออกไปไหนบ้าง ประมาณ 20 แห่ง แบ่งเป็น 6 กลุ่ม วันนี้ได้กลับมาส่วนหนึ่ง ยังมีส่วนอื่นอีก
“ความผิดฐานยักยอกเป็นคดีอาญาที่ยอมความได้ ต้องไปว่ากันต่อ โดยทางสหกรณ์ฯ พอใจคดีแพ่งที่ศาลจังหวัดธัญบุรี และเขาแจ้งว่าจะทำหนังสือไปยังตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าส่วนใดที่เคยเป็นเจ้าทุกข์คดีอาญาไว้ก็ไม่ติดใจ หากสามารถยอมความได้ แต่ข้อหาฉ้อโกงประชาชนนั้นยอมความไม่ได้”