รองโฆษกรัฐบาลสวนสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โวยนโยบายรัฐบาลอดีตปล่อยเอกชนรุกทำสัมปทานในป่าดงใหญ่ พอหมดอายุจึงปล่อยให้ชาวบ้านยึดทำกิน ลั่นร้องขอแล้วหลังพบใช้สารเคมีในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ย้ำทำตามคำพิพากษาศาลไม่ได้กลั่นแกล้ง
วันนี้ (12 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อกรณีสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ในกรณีข้อพิพาทด้านการใช้ที่ดินกับประชาชนในพื้นที่ 6 หมู่บ้านของจังหวัดบุรีรัมย์ ที่เป็นการทำลายพืชผลของชาวบ้านและเข้าข่ายกระทบต่อสิทธิมนุษยชน รวมทั้งสิทธิในที่อยู่อาศัยว่า ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอุทยานแห่งชาติป่าดงใหญ่ อ.โนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ต้องได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เป็นป่าต้นน้ำที่มีความสมบูรณ์ กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลในอดีตที่อนุญาตให้เอกชนเข้าไปสัมปทานใช้พื้นที่ทำประโยชน์ในด้านการเกษตร ซึ่งต่อมาสัมปทานเหล่านั้นได้ทยอยหมดอายุลง เป็นเหตุให้ประชาชนต่างพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนจากแกนนำ รวมตัวกันบุกรุกใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว โดยส่วนใหญ่เป็นการปลูกสวนยางพาราเชิงพาณิชย์ ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายให้มีการสัมปทานหรือเข้าไปใช้ประโยชน์ในลักษณะเช่นนั้นอีก เพื่อสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ จึงต้องมีการร้องขอให้ประชาชนผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ เพราะการปลูกพืชจะมีทั้งการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และปุ๋ยเคมีซึ่งจะปนเปื้อนลงไปในแหล่งน้ำที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะป่าดงใหญ่ถือเป็นป่าต้นน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงหลายจังหวัดในภาคอีสาน
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปตามคำพิพากษาของศาล มิได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือละเมิดต่อสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติจะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการปล่อยปละละเลยให้มีการบุกรุกอาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ทุกสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในกรอบของกฎหมาย คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม ดังนั้นอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่มาแสดงความคิดเห็น ได้ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และแสดงความคิดเห็นบนบรรทัดฐานที่ยอมรับได้