xs
xsm
sm
md
lg

“ดิเรกฤทธิ์” เปิดศึก “สำนักข่าวอิศรา” รอบสอง ขู่ปูดเอกสารลับเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง เปิดศึก “ประสงค์ วิสุทธิ์” ผอ.สำนักข่าวอิศรา หลังเขียนบทความโต้กลับ อ้างกฎหมายคลาดเคลื่อน ชี้ข้อมูลเกี่ยวกับการฟ้องคดี การตรวจสอบ ความเห็นหรือคำแนะนำภายในองค์กรไม่จำเป็นต้องเปิดเผยก็ได้ บอกไม่ได้ข่มขู่แต่อ้างนำข้อมูลลับที่ยังอยู่ในกระบวนการภายในของหน่วยงาน ทำผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ่วงมาตรา 164

วันนี้ (11 มี.ค.) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสถาบันอิศรา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่สำนักข่าวอิศรามีความเห็นต่อหนังสือขอความร่วมมือในการนำเสนอข่าวโดยยึดหลักกฎหมายและจริยธรรมสื่อสารมวลชน ซึ่ง นายดิเรกฤทธิ์ ได้ทำถึงผู้อำนวยการสถาบันอิศราไปเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดยเนื้อหาในหนังสือฉบับใหม่กล่าวถึง กรณีที่สำนักข่าวอิศราเผยแพร่บทความ “ว่าด้วย “ช้างตาย-วัวสันหลังหวะ” ที่ศาลปกครอง” เมื่อวันที่ 8 มี.ค.58 ซึ่งเขียนโดย นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ภายหลังจากที่ได้รับหนังสือขอความร่วมมือฯจากนายดิเรกฤทธิ์ โดยระบุว่า ทางสำนักข่าวอิศรามีความคลาดเคลื่อนต่อหลักการและกฎหมายหลายประการ ดังนี้

ประการแรก ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ได้อ้างอิงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ในการเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับการประชุมของ คณะกรรมการศาลปกครอง (ก.ศป.) เป็นความเข้าใจผิด เพราะเนื้อหามาตรา 9 ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ระบุถึงข้อมูลที่หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยให้ประชาชนเข้าตรวจดู ใน (7) ได้กล่าวถึง มติคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยกฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม มติคณะกรรมการฯตามที่กฎหมายกำหนดให้เปิดเผยนั้นล้วนต้องเป็นมติที่มีความเป็นทางการผ่านการรับรองรายงานการประชุมโดยกรรมการทุกท่านแล้ว ในขณะที่มาตรา 15 ของกฎหมายฉบับเดียวกันยังระบุถึงประเภทของข้อมูลที่หน่วยงานรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ อาทิ ข้อมูลเกี่ยวกับการฟ้องคดี การตรวจสอบ ความเห็นหรือคำแนะนำภายในองค์กร

นายดิเรกฤทธิ์ ยังได้ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้อธิบายเหตุผลของการไม่อาจเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 15 (3) ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว ว่า เนื่องจากการพิจารณาตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจต้องมีเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณากันหลายชั้น ซึ่งในแต่ละชั้นอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน หรือในการพิจารณาชั้นต้นอาจมีความเห็นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อพจารณาในชั้นสุดท้าย อาจมีข้อยุติ หรือข้อสรุปในการพิจารณาแตกต่างจากครั้งแรกก็ได้

“ในการให้อิสระกับเจ้าหน้าที่เสนอความเห็นอย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกรบกวนก่อนมีผลยุติ จึงเป็นสิ่งจำเป็น” นายดิเรกฤทธิ์ ระบุ

ประการที่ 2 กรณีที่ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ตั้งข้อสังเกตว่าหนังสือลงวันที่ 6 มี.ค.นั้นมีลักษณะเป็นการข่มขู่ เพราะมีการอ้างข้อกฎหมายนั้น นายดิเรกฤทธิ์ชี้แจงว่า การมีหนังสือราชการจำเป็นต้องมีเหตุผลประกอบ ซึ่งเหตุผลย่อมประกอบไปด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในกรณีนี้มีข้อกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง

ประการที่ 3 ประเด็นที่ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา เห็นว่ามาตรา 164 ของประมวลกฎหมายอาญา ไม่อาจนำมาใช้กับสถาบันอิศราได้ เพราะเป็นบทบัญญัติที่ใช้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอธิบายว่า มาตรา 164 เป็นข้อกฎหมายที่มุ่งบังคับตัวเจ้าหน้าที่รัฐผู้นำข้อมูลข่าวสารลับทางราชการมาเปิดเผยโดยมิชอบ แต่ทั้งนี้อาจครอบคลุมถึงบุคคลอื่นที่มิใช่เจ้าหน้าที่ หากแต่มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารลับของราชการโดยมิชอบด้วย

“การที่สำนักข่าวอิศรานำข้อมูลลับที่ยังอยู่ในกระบวนการภายในของหน่วยงาน ซึ่งอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงมาเผยแพร่นั้น อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ได้” นายดิเรกฤทธิ์ ย้ำ

ประการที่ 4 การนำจดหมายเปิดผนึกของตุลาการศาลปกครองที่ไม่มีการลงชื่อผู้ทำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ อันส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่นในทางที่เกิดความเสียหาย โดย ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ให้ความเห็นนนว่า สามารถทำได้ และข่าวดังกล่าวน่าเชื่อถือหรือไม่ ต้องให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะตุลาการศาลปกครอง ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายและจริยธรรมของตุลาการเป็นผู้ตัดสินนั้น นายดิเรกฤทธิ์ระบุว่า การเผยแพร่เอกสารที่ส่งผลเสียหายต่อผู้อื่น จะต้องเป็นเอกสารที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งการลงชื่อของผู้มีหนังสือ ถือเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีการลงชื่อ ถือเป็นเอกสารที่ไม่มีผู้รับผิดชอบ สื่อมวลชนต้องคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่นด้วย

ประการที่ 5 การที่ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา เห็นว่า ข่าวดังกล่าวมีการวิเคราะห์และใส่ความเห็นของผู้เขียน ถือเป็นลักษณธของบทความ จึงไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2541 นายดิเรกฤทธิ์มีข้อสังเกตว่า การนำเสนอบทความที่ใส่ความเห็นของผู้เขียนลงไปด้วยนั้น ควรมีการแยกข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นของผู้เขียนให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือสับสนต่อผู้อ่านข่าว รวมทั้งการอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ชัดเจน ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงได้

ในช่วงท้ายของหนังสือระบุว่า “สำนักงานศาลปกครอง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับความร่วมมือจากสำนัหข่าวอิศราในการนำเสนอข้อมูลต่างๆในกรอบของกฎหมายและจริยธรรม เพื่อบรรยากาศที่ดีในการทำงานของทุกฝ่าย ซึ่งการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานต่างๆ ของสื่อสารมวลชนนั้นเป็นเรื่องที่ดียิ่ง หากแต่ขอได้โปรดระมัดระวังในการนำเสนอข่าวสารที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ของผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย และคำนึงถึงความเป็นธรรมของทุกฝ่าย”






กำลังโหลดความคิดเห็น