xs
xsm
sm
md
lg

บึ้มป่วนดึงยูเอ็นแทรกแซง-ตั้งสหพันธรัฐได้เวลาตาสว่าง !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

การรับสารภาพของคนร้ายที่ก่อเหตุขว้างระเบิดใส่บริเวณที่ทำการศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อสองวันก่อน ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับได้แบบคาหนังคาเขา ว่า พวกเขาก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย และเตรียมที่จะลงมือพร้อมกันหลายจุด ในวันที่ 12 มีนาคม และ วันที่ 15 มีนาคม อีก มีเป้าหมายเพื่อต้องการให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงในประเทศไทย และนอกเหนือไปกว่านั้นก็คือต้องการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นแบบ “สหพันธรัฐ”

คำสารภาพของ นายมหาหิน ขุนทอง หนึ่งในสองคนร้ายระหว่างการแถลงข่าวที่มี ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล และ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ระบุว่า นอกจากการก่อเหตุครั้งนี้แล้ว ยังเตรียมลงมือในลักษณะเดียวกันพร้อมกันอีกนับร้อยจุดทั่วประเทศ ในช่วงวันที่ 10 วันที่ 12 และ 15 มีนาคม เพื่อสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย ทำลายความมั่นคงของรัฐ เพื่อที่จะให้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจอีกว่า พวกเขามีเป้าหมายเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นแบบ “สหพันธรัฐ” อีกด้วย


อย่างไรก็ดี อย่างหลังอาจจะเป็นการรับฟังข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ซึ่งอาจจะเป็นแบบ “สาธารณรัฐ” เหมือนกับที่เคยมีการเปิดเผยกันมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ แต่จะเป็นแบบไหนก็ตามถือว่าอันตรายทั้งสิ้น

นอกจากนี้ จากข้อมูลการรับสารภาพของคนร้าย ยังพบว่า พวกเขารับงานมาจากกลุ่มเสรีไทยสาขาพัทยา ซึ่งมีการว่าจ้างและจัดหาอาวุธมาให้ ซึ่งหากสังเกตก็จะพบว่า ชื่อเสรีไทยนั้นไปเหมือนกับ “องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ที่มี จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ อดีต ส.ส. พรรคพลังประชาชน เป็นผู้นำที่ต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกด้วย

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลที่ได้จากคนร้ายทั้งสอง ยังอ้างว่ามีความเชื่อมโยงไปถึง อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ อดีตผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง แน่นอนว่า เมื่อเห็นชื่อ และนามสกุลของคนพวกนี้คงไม่ต้องอธิบายกันให้มากความว่าเป็นคนของเครือข่ายไหน

แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากันอย่างสูงสุด ก็คือ ข้อมูลที่เปิดเผยว่า ต้องการให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ในประเทศไทย และต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปเป็นระบอบสหพันธรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะนี่ไม่ต่างจากการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นในประเทศ เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง พฤติกรรมไม่ต่างจากพวกขายชาติ “ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน” ขณะเดียวกัน การบอกว่าต้องการเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบอบสหพันธรัฐ นี่ก็ถือว่าไม่ต่างจาก “กบฏ” เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อมา ก็คือ จากพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะพบว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนเสื้อแดง กลุ่มติดอาวุธ นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยบางคน อดีตข้าราชการระดับสูงในเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร เป็นพฤติกรรมที่ทำผิดกฎหมาย ใช้อาวุธก่อความรุนแรงทำลายความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึง “ขบวนการล้มเจ้า” แน่นอนว่า คนพวกนี้ต้องถูกจับกุมถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดสถานเดียวเท่านั้น และที่ผ่านมา มีประชาชนจำนวนมากไม่พอใจพฤติกรรมดังกล่าว และทนไม่ไหวที่รัฐบาลในอดีตเพิกเฉย เพราะเป็นพวกเดียวกัน เป็นเครือข่ายเดียวกัน จนต้องลุกฮือขึ้นมาขับไล่ จนทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่นี่รับรองว่า “ไม่ใช่เป็นความขัดแย้ง” อย่างที่ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มักจะพูดถึงหลายครั้ง และจากการก่อเหตุของสองคนร้ายเมื่อค่ำวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ก็เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่านี่คือความขัดแย้งระหว่างประชาชนหรือไม่

เพราะในข้อเท็จจริงก็คือ คนพวกนี้ต้องบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ หากจะขัดแย้งก็คงขัดแย้งกับรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เท่านั้น และที่สำคัญเป็นพฤติกรรมที่ทำผิดกฎหมาย และเชื่อว่าคงทำให้คนในรัฐบาลได้ “ตาสว่าง” และคงจะไม่พูดว่าสาเหตุของความวุ่นวายมาจากความขัดแย้งของประชาชน หรือประชาชนทะเลาะกันอีกต่อไป

เพื่อให้การยืนยันข้อมูลชัดเจนลงไปอีกก็มาจากปากของ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ระบุว่า การก่อเหตุที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นั้นเป็นเครือข่ายเดียวกันกับการก่อเหตุที่บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า กับห้างสยามพารากอน ก่อนหน้านี้ โดยแยกกันก่อเหตุกันตามความถนัดของผู้ก่อเหตุ ซึ่งก็ชัดยิ่งกว่าชัดว่า นี่คือการลงมือของพวกเครือข่ายที่เรียกกันว่า “ระบอบทักษิณ” นั่นแหละ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาล และ คสช. จะเดินหน้าจัดการตามกฎหมายด้วยความเด็ดขาดหรือไม่เท่านั้นเอง

แต่ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประกาศกร้าวออกมาว่า “หากจะสู้ก็สู้กันและจะไม่ยอมคนเลว” ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ชัดเจน ว่าเป้าหมายเป็นใคร ว่าใครที่ทำลายความมั่นคงของชาติ ใครกันแน่ที่มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น