“คำรณวิทย์” ยันไม่เกี่ยวข้องเหตุบึ้มศาลอาญาป่วนเมือง ไม่รู้จักแฟนสาว “มหาหิน” บอกไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองตั้งแต่เกษียณ ด้าน “ยะใส” จวกพวกเพรียกหาเสรีภาพแต่มือยังถือระเบิด
วันนี้ (9 มี.ค.) มีรายงานว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. กล่าวยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาปาระเบิดศาลอาญา รัชดาภิเษก หลังถูกนายมหาหิน ขุนทอง ผู้ต้องหาปาระเบิดศาลอาญา รัชดาฯ กล่าวพาดพิง ส่วนกรณีที่นายมหาหินอ้างว่าแฟนสาวเคยทำงานกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และรู้จักกับตนเองนั้น ยืนยันไม่เคยรู้จักคุ้นเคยกับคนร้ายหรือแฟนสาวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ รู้สึกแปลกใจที่มีชื่ออยู่ในสมุดจดบันทึกของนายมหาหิน และตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่เกษียณราชการมุ่งมั่นรักษาคนป่วยที่มารักษาวันหนึ่งรวม 50 กว่าคนตั้งแต่เช้าจนบ่าย และไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือนักการเมือง
“ยังงงๆ อยู่เลยว่าเป็นใคร มาจากไหน ทุกวันนี้ได้ยุติบทบาททางการเมืองไปแล้ว ไม่เคยเกี่ยวข้องเลย วันๆ มัวแต่รักษาผู้ป่วยด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณด้วยการฝังเข็มฟรีที่มูลนิธิมงคล-จงกล ธูปกระจ่าง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เท่านั้น ผมเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ประชาชนทั้งประเทศจะรู้จัก”
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีใจความ “เพรียกหาประชาธิปไตย แต่ฝักใฝ่ความรุนแรง! ...การแถลงจับกุมคนร้ายและการขยายผลเครือข่ายร่วมขบวนการระเบิดหน้าศาลอาญา รัชดาฯ แม้จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายมากมายอะไร แต่ถ้าดูเนื้อนัยของการก่อเหตุครั้งนี้มีประเด็นที่ตัองคิดกันและอาจถึงขั้นทบทวนกระบวนการปรองดองให้ถูกที่ถูกทางมากขึ้น ดังนี้
1. อุดมการณ์ของขบวนการนี้ที่เรียกว่า สู้เพื่อประชาธิปไตย หมายถึงรูปแบบสหพันธรัฐ ที่ไม่ใช่รูปแบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ขบวนการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างความรุนแรงต่อเนื่องทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัดเพื่อให้เกิดสภาวะ “Fail State หรือรัฐล้มเหลว” วุ่นวาย ไร้ระเบียบ จนสหประชาชติ หรือ UN ต้องเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน
3. ขบวนการนี้มีเครือข่ายทั้งในและนอกประเทศ มีการฝึกปรือ มีอาวุธ ท่อน้ำเลี้ยงพร้อม เมื่อสบช่องพร้อมก่อเหตุได้ตลอดเวลา และพิสูจน์ชัดว่าอาวุธที่ คสช.ไล่จับมาทั้งปียังเหลืออีกอื้อ
4. จุดโจมตีเริ่มพุ่งเป้าไปที่ศาลถี่ขึ้น เพื่อเขย่าอำนาจตุลาการซึ่งเป็นหัวใจของระบบการเมืองการปกครอง กระทั่งในที่ชุมชนคนพลุกพล่าน เช่น หน้าสยามพารากอน ผบ.ตร.ก็ยืนยันว่าคนร้ายเป็นเครือข่ายเดียวกัน
5. การปรากฏชื่อของบรรดาบิ๊กๆ ที่คนร้ายพาดพิง แม้อาจไม่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ยอมรับแล้วว่าเป็นคนรู้จักกัน กลุ่มเดียวกัน อาจแบ่งภารกิจกันทำโดยไม่รวมศูนย์บงการที่ใครคนเดียวก็ย่อมได้
สภาวการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ว่ามีคนบางส่วนปฏิเสธกระบวนการปรองดอง ซ้ำร้ายยังยึดถือแนวทางความรุนแรงต่อไป เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายแห่งอุดมการณ์ คนพวกนี้มาไกลถึงขั้นเชื่อว่า “ความรุนแรง” คือคำตอบสู่สังคมแห่งอุดมการณ์
ผมย้ำและยังยืนยันครับว่าส่วนตัวผมเห็นด้วยและสนับสนุนกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ แต่ต้องไม่ใช่กับกลุ่มคนที่ถือลัทธิความรุนแรงแบบนี้ ต้องแยกคนกลุ่มนี้ออกไป ที่สำคัญพวกที่ตีสองหน้า หรือปากว่าตาขยิบ ปากเพรียกหาเสรีภาพ แต่มือยังถือระเบิด คนพวกนี้หรือที่สังคมควรให้อภัย!”