“สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” โพสต์เฟซบุ๊กหลังธรรมศาสตร์มีคำสั่งไล่ออก อ้างถึงหนังสือชี้แจงต่อทางมหาวิทยาลัยเมื่อต้นเดือน ก.พ. เผยหลังไม่ยอมไปรายงานตัวกับ คสช.มีทหารพร้อมอาวุธครบมือบุกถึงบ้าน ส่งคนตามรังควานญาติ ซ้ำยังยัดข้อหาหมิ่นเบื้องสูงฯ ลั่นไม่มีโอกาสได้รับความยุติธรรมแน่ จึงจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพ ด้วยการไม่ยินยอมให้คณะทหารจับกุม
วันนี้ (24 ก.พ.) เมื่อเวลาประมาณ 20.40 น. นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Somsak Jeamteerasakul” หลังจากที่ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีคำสั่งไล่ออกจากราชการ เหตุละทิ้งราชการเกิน 15 วัน
โดยระบุว่า “นี่เป็นหนังสือชี้แจงของผม ที่ส่งให้ทางมหาวิทยาลัย เมื่อต้นเดือนนี้ เมื่อทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการสอบสวนทางวินัย...
(1) ดังที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้มีคณะทหารกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจการปกครอง ล้มรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรงที่สุด หลังจากนั้นไม่กี่วัน คณะทหารที่ทำการโดยมิชอบและผิดกฎหมายนั้น ได้สั่งให้บุคคลจำนวนมากเข้าไปรายงานตัว รวมทั้งผมด้วย เมื่อผมไม่ไปรายงานตัว ก็ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ 2 คันรถไปที่บ้านผม เมื่อไม่พบ ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจติดตามรังควาน (harassment) ต่อภรรยา แม่ และพี่ชายของผมถึงบ้านและที่ทำงานของพวกเขา โดยที่ญาติของผมเหล่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำใดๆ ของผมเลย ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันนับเดือน พร้อมกันนั้น คณะทหารดังกล่าวยังได้ทำการยกเลิกหนังสือเดินทางของผม และออกหมายจับตัวผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัว
ผมไม่เคยคิดหรือเรียกร้องให้ใครจะต้องมีท่าทีต่อการยึดอำนาจในลักษณะกบฏครั้งนี้แบบเดียวกับผม แต่ในส่วนตัวผมเอง ในฐานะพลเมืองและข้าราชการคนหนึ่ง และในฐานะสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ผมถือเป็นหน้าที่สูงสุดที่จะไม่ยอมทำตามการกระทำที่ผิดกฎหมายร้ายแรงที่สุดดังกล่าวของคณะทหารนั้น (แม้แต่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ก็มีบทบัญญัติให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนไทยที่จะต่อต้านการล้มรัฐธรรมนูญอย่างสันติ) ผมจึงไม่สามารถที่จะอยู่ปฏิบัติราชการเพื่อให้คณะบุคคลที่ทำการกบฏดังกล่าวมาจับกุมตัวอย่างไม่ชอบธรรมได้ ผมถือว่านี่คือการปฏิบัติหน้าที่สูงสุดที่ในฐานะพลเมืองหรือข้าราชการคนหนึ่ง หรือ “ชาวธรรมศาสตร์” ผู้หนึ่ง จะพึงปฏิบัติได้ ในการต่อต้านการกระทำผิดกฎหมายอันร้ายแรงที่สุดของคณะทหารดังกล่าว
(2) คณะทหารที่ทำการยึดอำนาจดังกล่าว หลังการยึดอำนาจแล้ว ก็ได้ดำเนินการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) อย่างขนานใหญ่ ดำเนินการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ในเวลาสั้นๆ จนถึงขณะนี้รวมแล้วเกือบ 30 คน หรือโดยเฉลี่ยกว่า 3 คนต่อเดือน (หรือประมาณ 1 คนทุกๆ 10 วัน) โดยที่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบยุติธรรม” ของคณะยึดอำนาจนั้น แทบทุกคนที่ถูกจับไป ถูกปฏิบัติในลักษณะที่ถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีความผิด ไม่มีการให้ประกันตัว แม้กระทั่ง ในกรณีที่เป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่กำลังจะจบการศึกษา จนแทบทุกคนดังกล่าวถูกบีบบังคับให้จำเป็นต้องเลือกวิธี “สารภาพ” เพื่อจะได้หาทางย่นเวลาของการต้องถูกจองจำให้สั้นลง การใช้กฎหมายในลักษณะดังกล่าวของคณะทหารผู้ยึดอำนาจ ยังได้ส่งเสริมให้เกิดการใช้กฎหมายนี้อย่างผิดๆ มากขึ้นไปอีก ถึงขั้นที่แม้แต่การพูดถึงพระมหากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปกว่า 100 ปีแล้ว ก็ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างฟ้องร้องได้
ดังที่ทราบกันดีว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเป็นผู้หนึ่งที่เรียกร้องและสนับสนุนให้มีการปฏิรูปแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดต่อยุคสมัยและไม่ชอบด้วยหลักการปกครองประชาธิปไตย โดยที่ผมได้ทำการเรียกร้องนั้นอย่างสันติ และภายใต้กรอบของกฎหมายที่มีอยู่นั้นเอง แต่คณะทหารกลุ่มเดียวกับที่ทำการยึดอำนาจในขณะนี้ ได้มุ่งที่จะทำร้ายผมโดยไม่คำนึงถึงแม้แต่กรอบของกฎหมายที่มีอยู่ ดังกรณีสำคัญ 2 กรณีซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไป คือ ในปี 2554 คณะทหารกลุ่มนี้ได้แจ้งความฟ้องร้องผมในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จากการที่ผมเขียนบทความพาดพิงถึงพระดำรัสชองสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ทั้งๆ ที่พระองค์หาได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด และในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 หลังจากผมได้เขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียวิจารณ์การที่คนไทยกลุ่มหนึ่งมีลักษณะนิยมเจ้าอย่างงมงาย (ที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า ultra-royalism) ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ได้พาดพิงถึงแม้แต่พระราชวงศ์พระองค์ใด อย่าว่าแต่พระราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายดังกล่าว แต่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น (หรือผู้นำคณะยึดอำนาจในปัจจุบัน) ได้ให้โฆษกของเขาออกมาข่มขู่ว่า จะ “ใช้มาตรการทางสังคมเพื่อกดดัน” ต่อผม หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็มีบุคคลลึกลับไปยิงผมถึงบ้าน จนเกือบจะทำร้ายถึงชีวิตและร่างกายของผม หลังการยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคมและหลังจากการมีหมายจับผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัวกับคณะผู้ยึดอำนาจแล้ว เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 คณะผู้ยึดอำนาจดังกล่าว ยังได้ให้เจ้าหน้าที่ออกหมายจับผมอีกหมายจับหนึ่งในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยอ้างการเขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียดังกล่าวอีกด้วย
ตลอดเวลานับ 10 ปี ที่ผมทำการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์รวมถึงการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ผมได้กระทำภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่คิดที่จะใช้วิธีการอื่นใดหรือหลบลี้หนีหน้าไปไหน ไม่ว่าจะถูกผู้ไม่เห็นด้วยข่มขู่คุกคาม หรือใช้วิธีนอกกรอบของกฎหมายมาพยายามทำร้ายอย่างไร แต่ภายใต้การปกครองของคณะยึดอำนาจชุดปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแต่ได้ขยายปัญหาที่มีอยู่แล้วในกฎหมายดังกล่าวออกไปอีกอย่างมากมายไม่เคยปรากฏมาก่อน (การฟ้อง-การจับอย่างเหวี่ยงแห, การสันนิษฐานล่วงหน้าว่ากระทำผิด, การห้ามประกันอย่างผิดนิติธรรม และการตัดสินคดีในลักษณะครอบจักรวาลมากขึ้นๆ) แต่ยังได้แสดงให้เห็นชัดเจนมาตลอดตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจว่า มุ่งจะทำร้ายผมโดยเฉพาะเจาะจง - ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งแน่นอนว่า ผมจะไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิงที่จะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างยุติธรรมตามหลักกฎหมาย ผมจึงมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของตน ด้วยการไม่ยินยอมให้คณะทหารที่ยึดอำนาจอย่างกบฏจับกุมและทำร้ายด้วยข้ออ้างเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือข้ออ้างใดๆ
ตลอดเวลา 20 ปีที่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้พยายามปฏิบัติงานอย่างสุดความสามารถตามหน้าที่โดยไม่ละเว้น (เช่น ผมแทบจะไม่เคยขาดการสอนเลย) ทั้งยังได้พยายามปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศ และสมาชิกที่ดีของประชาคมธรรมศาสตร์ แต่ในภาวะการณ์ที่มีผู้ทำผิดกฎหมายร้ายแรง ตั้งตนเป็นผู้ปกครองประเทศและหัวหน้าระบบราชการอย่างผิดกฎหมาย แล้วอ้างอำนาจที่ตัวเองไม่มีอยู่ มุ่งจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของผมโดยตรงเช่นนี้ ผมถือเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ในฐานะข้าราชการ ในฐานะพลเมือง และสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ที่จะไม่ปฏิบัติตาม และต่อต้าน ปฏิเสธการพยายามจับกุมคุมขังและทำร้ายผมของพวกเขาดังกล่าว”
หลังจากนั้นนายสมศักดิ์โพสต์ต่ออีกว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่เขียนความเห็น ส่งข้อความทั้งหน้าไมค์หลังไมค์มามากมาย ให้กำลังใจ รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ต้องขออภัยที่ไม่สามารถตอบเป็นรายบุคคลได้
“ความจริงมหาวิทยาลัย มีออปชันหลายอย่าง จะให้ผมลาปลอดการสอนชั่วคราว ให้ผมลาออกเอง หรือให้ออก ไปจนถึงไล่ออกก็ได้ ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ก็คิดๆว่า ถ้าอย่างมากสุด ให้ลาออก หรือให้ออก ก็ยังดี เพราะจะได้ไม่มีปัญหาเรืองบำเหน็จ เพราะผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เงินสะสมก็ไม่ได้มากมาย ทีสำคัญก็เห็นว่า ในเมื่อผมทำงานมากว่า 20 ปี อย่างน้อยถ้าบอกว่า ต้องลงโทษที่ตอนนี้ไปทำงานไม่ได้ ก็เป็นเรื่อง “ความผิด” ที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ควรกระทบไปถึงบำเหน็จที่เป็นการตอบแทนการทำงานสะสมที่ผ่านมา
พอออกมาว่า เป็นการไล่ออกก็ได้แต่ยักไหล่ หัวเราะ เหอๆ กับตัวเองแหละ
ที่จริงตอนที่ผมตัดสินใจกลับมาเขียนเฟซบุ๊กใหม่ เมื่อ 22 พฤศจิกายนนั้น ผมรู้ดีว่า จะเพิ่มความเสี่ยงของการที่อาจจะไม่ได้ลาปลอดการสอนทีทำเรืองไว้ หรือจะลาออก ก็อาจจะไม่ได้ คือเสี่ยงต่อการถูกไล่ออก และไม่ได้บำเหน็จอยู่เหมือนกัน แต่นี่เป็นอะไรที่ผมยอมเสี่ยงอยู่ เพราะทนกับการเห็น “ทมิฬมาร ครองเมือง” โดยไม่พูดอะไรไม่ได้ (สำหรับท่านที่สงสัยและอาจจะไม่ทันได้อ่านตอนผมเริ่มกลับมาเขียน ที่ผมเงียบไปจนถึงจุดนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องกลัวถูกไล่ออกหรืออะไร แต่ดังที่ผมเคยอธิบายไปว่า เป็นเวลาหลายเดือน ผมต้อง “ระเหเร่ร่อน” อยู่ในที่ที่ผมไม่สามารถจะเขียนอะไรได้อย่างเป็นอิสระเต็มที่ จนกระทั่งผมเพิ่งได้ในมาอยู่ในที่ที่อยู่ตอนนี้ ก่อนหน้าที่ผมจะกลับมาเขียนได้ไม่นาน)”