รายงานการเมือง
อาฟเตอร์ช็อกของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ยังมีขึ้นเรื่อยๆ นับแต่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เขี่ยพ้นกระดานการเมือง ตัดสิทธิ์ 5 ปี ถูกอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอาผิดในคดีอาญา กรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหาย กระทั่งคิวล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งหนังสือให้กระทรวงการคลังดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายขั้นต่ำ 6.8 แสนล้านบาท
เป็นช็อตต่อเนื่องในสถานการณ์การเมืองช่วงปีใหม่สากลถึงเทศกาลปีใหม่คนไทยเชื้อสายจีน ห้วงเวลานี้ “ยิ่งลักษณ์” อ่วมอรทัยไม่น้อย แทบจะเรียกว่า หมดอนาคตทางการเมืองแบบบริบูรณ์ไปได้เลย เหลือแต่อนาคตการใช้ชีวิตในประเทศไทยที่ยังไม่รู้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ตามคิวที่เซียนหลายสำนักฟันธง โหรหลายคนทำนาย “ยิ่งลักษณ์” จะมีอันต้องระเห็จระเหินเป็นสัมภเวสีตาม “พี่ชายสุดที่รัก” ออกไปใช้ชีวิตร่อนเร่ในต่างแดน
แม้แต่ในระบอบทักษิณยังจับสัญญาณได้ การอัดแคมเปญคดีความใส่ “ยิ่งลักษณ์” เป็นแพกเกจแบบไม่ยั้ง น่าจะเป็นการส่งสัญญาณจากฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบันกับการไล่ต้อน “ตระกูลชินวัตร” แบบเปิดหน้าเล่น หมดลูกเขินอายที่จะต้องอำพรางปิดบังกันอีกต่อไป
โดยเฉพาะปัจจัยตอกย้ำความเชื่อกรณี ป.ป.ช. โพล่งออกมาส่งหนังสือถึงกระทรวงการคลังให้ฟ้องเอาผิดทางแพ่งกับ “ยิ่งลักษณ์” คนเดียวโดดๆ แบบไม่มีคนอื่นเอี่ยว ในสภาวะไร้ปี่ไร้ขลุ่ย ทั้งที่จะว่ากันตามความจริงและทฤษฎีทางกฎหมาย โครงการรับจำนำข้าวถือเป็นโครงการของรัฐบาล แม้นายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงรับผิดชอบโดยตำแหน่งแบบไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ควรจะต้องร่วมรับผิดชอบกับความพินาศครั้งนี้ด้วยกัน
หรืออย่างน้อยๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สองกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวโดยตรง ต้องร่วมเป็นจำเลยเซ่นความยับเยินครั้งนี้เหมือนกัน แต่กลับมี “ยิ่งลักษณ์” คนเดียวที่โดนสอย ต้องใช้หนี้กันหัวโต
ขณะเดียวกัน ตัวเลข 6.8 แสนล้านบาท ที่ ป.ป.ช. เสนอต่อกระทรวงการคลัง ยังไม่ถือว่าเป็นตัวเลขที่นิ่งแล้ว เพราะปัจจุบันยังมีข้าวในโกดังเหลืออยู่อีกประมาณ 17 ล้านตัน หากยังระบายออกไม่หมดความเสียหายจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าดูแลรักษา และการเสื่อมคุณภาพตามกาลเวลาที่จะฉุดราคาให้ดิ่งลงเรื่อยๆ
หลักคิดเรื่องการคำนวณความเสียหายจึงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสพอสมควรสำหรับกระทรวงการคลังในฐานะ “หนังหน้าไฟ” ตามกฎหมาย และ “หนังหน้าไฟ” ของฝ่ายกุมอำนาจ ที่ต้องไปดีดลูกคิดกันมา
แน่นอนว่า ถ้ายึดตามบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ “ยิ่งลักษณ์” แสดงเอาไว้ตอนพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 1 ปี มีอยู่ประมาณ 500 - 600 ล้านบาท หรือต่อให้รวมบรรดาธุรกิจต่างๆ ที่มีอยู่ก็ไม่น่าจะพอชดใช้ได้ หากเทียบกับยอด 6.8 แสนล้านบาทที่ต้องชดเชยให้ความเสียในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งที่สุดแล้วหากศาลแพ่งพิพากษาว่า ผิดเต็มประตู ในทางนิตินัยถือว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเตรียมปั๊มตราเป็น “บุคคลล้มละลาย” ได้เลย
เทียบกับเมื่อตอน “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชายโดนศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก และยึดทรัพย์ให้ตกเป็นแผ่นดิน 4.6 หมื่นล้านบาท เมื่อหลายปีก่อนหน้า ต้องถือว่า ของ “ยิ่งลักษณ์” มากกว่าหลายเท่าตัว สาหัสสากรรจ์ไม่เบา
การเดินเครื่องฟ้องเรียกค่าเสียหายกับ “ยิ่งลักษณ์” แบบด่วนจี๋ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด ป.ป.ช. จึงรีบเร่งไม่รอให้อนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวสรุปตัวเลขที่แท้จริงออกมาก่อน ที่สำคัญ การฟ้องร้องทางแพ่งกับ “ยิ่งลักษณ์” จะมีความชอบธรรมแบบเต็มเปี่ยม หาก ป.ป.ช. รอให้คดีอาญาในโครงการรับจำนำข้าวในชั้นศาลฎีกาฯ สิ้นสุดลงก่อนว่า ผิดจริง
แล้วเหตุใด ป.ป.ช. จึงตัดสินใจแบบนี้เลย แม้ภายหลัง “เนติบริกร” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะซือแป๋กฎหมายประจำรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะชี้แจงมีหลักการและหน้ำหนักว่า “ป.ป.ช.” อาจกังวลเรื่องอายุความ เพราะคดีแพ่งมีอายุสั้นกว่าคดีอาญาจึงรีบฟ้องไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ขาดอายุความก็ตาม
แต่หากเชื่อว่า ศาลฎีกาฯจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาคดีอาญาของ “ยิ่งลักษณ์” ไม่นานเหมือนที่หลายคนให้ทัศนะเอาไว้ว่า ภายในปีนี้น่าจะเสร็จได้ ก็ไม่น่าจะเกินความอดทนที่จะอดเปรี้ยวไว้กินหวานตามฟ้องแพ่งในภายหลังเป็นการตอกฝาโลงละครเรื่องนี้ให้จบบริบูรณ์
ตามสารพัดข้อสังเกตและห้วงเวลา การรุกเชือดทางแพ่งกับ “ยิ่งลักษณ์” ในจังหวะนี้จึงเป็นไปตามที่หลายฝ่ายอ่านเกมออกว่า นี่อาจเป็นการบีบน้องสาวคนเล็กของ“ทักษิณ” ให้รีบเก็บข้าวเก็บของตามพี่ชายไปอยู่ “ดูไบ” โดยเร็ว และเป็นสัญญาณจากฝ่ายอำนาจระดับชัดแจ๋วว่า ไม่มีที่ยืนในประเทศให้อีกแล้ว
หากตัดสินใจอยู่หรือสู้ บทลงเอยคือ “คุก” กับ “ล้มละลาย” ซึ่งวัดบรรทัดฐานจากพี่ชายแล้ว น่าจะเจริญรอยตามทางเดียวกันคือ “เผ่น”
ช่วงเวลาที่สำคัญต่อจากนี้ที่ต้องจับตา คือ หลังจาก อสส. ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เสร็จสิ้นแล้ว ระหว่างที่รอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษา 9 คน มาทำหน้าที่องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ และรอว่า จะประทับรับฟ้องเมื่อไหร่ จนนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ซึ่ง “ยิ่งลักษณ์” จำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง หมดสิทธิ์เบี้ยวอีก โดยขั้นตอนนี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 15 วัน อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยจะตัดสินใจกำหนดชีวิตตัวเองอย่างไร
“ยิ่งลักษณ์” อาจจะอาศัยห้วงเวลานี้ชั่งน้ำหนักระหว่าง สู้คดีไปสักพักแล้วค่อยหนี หรือหนีเลยก่อนที่จะหนียาก โดยดูทางลมและสัญญาณจากฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบันอีกสักครั้งว่า จะเอาอย่างไร
ทางหนึ่ง หาก “ยิ่งลักษณ์” หนีเลย ไม่ยอมเดินทางไปในศาลฎีกาฯ นัดแรก ผลคือ ศาลจะต้องจำหน่ายคดีออกมาชั่วคราว และออกหมายจับ ซึ่งมุมนี้หากในภายภาคหน้าจับผลัดจับผลูมีการ “นิรโทษกรรม” เกิดขึ้น กรณีนี้อาจพอลุ้นมีเอี่ยวรับอานิสงส์ เพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแม้แต่นิดเดียว และอาจอ้างว่า เป็น “คดีการเมือง”
แต่หากเป็นอีกทางหนึ่งยอมไปนัดแรก และต่อมามีการชิ่ง ศาลสามารถพิจารณาลับหลังได้ต่อให้ตัวไม่อยู่ “ยิ่งลักษณ์” จะตกอยู่ในสถานะแบบเดียวกับ “ทักษิณ” คือ หนีคดี ปิดประตูเรื่องนิรโทษกรรมไปเลย ทางเดียวที่จะได้กลับมาคือ ต้องมาถูกลงโทษ และลุ้นอภัยโทษในภายหลัง ซึ่งพี่น้องคู่นี้หรือจะยอม?
ช่วงก่อนวันศาลนัดพิจารณาครั้งแรกจึงสำคัญอย่างยิ่ง!!!