“สมหมาย” ระบุได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช.เรียกค่าเสียหายจำนำข้าวแล้ว ด้าน “โต้ง กิตติรัตน์” โพสต์ตัดพ้อ ป.ป.ช.วันตรุษจีน ยันปฏิบัติต่ออดีตนายกฯ อย่างซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรม สร้างความหนักใจให้กับกระทรวงการคลัง อ้างเป็นผลประโยชน์สุทธิทางเศรษฐกิจเป็นบวก ระบุเศรษฐกิจโตเพียงร้อยละ 0.7 ในขณะที่ทุกๆ ประเทศในอาเซียนโตเอาโตเอา นี่แหละความเสียหาย จะให้เรียกค่าเสียหายจากใครก็เชิญคิดกันเอาเอง
วันนี้ (18 ก.พ.) นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ค้ำประกัน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว ว่าได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช.แล้ว ซึ่งจะพิจารณาในรายละเอียด คาดว่าจะได้แนวทางดำเนินการที่ชัดเจน ภายใน 2-3 วันนี้ หลังจากนี้เตรียมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะเป็นโครงการใหญ่ที่มีความเสียหายมาก เช่น กรมบัญชีกลาง ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลความเสียหายของภาครัฐ
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Kittiratt Na-Ranong” แสดงความเห็นตัดพ้อการทำงานของ ป.ป.ช.ต่อกรณีส่งหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ค้ำประกัน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีใจความว่า
“แด่ ป.ป.ช. ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จีน โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสุทธิเป็นบวก จะให้ทวงค่าเสียหายจากใคร
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังเรียกค่าเสียหายจากท่านอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีโครงการรับจำนำข้าวนั้น
ผมเห็นว่าเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ปฏิบัติต่ออดีตนายกรัฐมนตรีอย่างซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรม สร้างความหนักใจให้กับส่วนราชการ คือ กระทรวงการคลัง เพราะถ้าไม่ดำเนินการ ก็มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาจาก ป.ป.ช.ว่าละเว้นปฏิบัติ แต่หากจะดำเนินการใดๆ ต่อไปก็ย่อมขัดต่อหลักเหตุผลในแนวคิดเรื่อง “ผลประโยชน์ และความเสียหาย” เพราะโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่ได้ดำเนินการในช่วงรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นโครงการที่มี ผลประโยชน์สุทธิทางเศรษฐกิจเป็นบวก
ผมได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่ชั้นไต่สวนพยานแล้วว่า สำนักเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้คำนวณ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลในปี 2554/55 และปี 2555/56 ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ประเทศเป็นมูลค่าถึง 308,000 ล้านบาท และ 315,000 ล้านบาท หรือเทียบเท่ากับจีดีพี ร้อยละ 2.7 และร้อยละ 2.8 ของประเทศในปี 2555 และ 2556 ซึ่งสูงกว่า “ตัวเลขค่าใช้จ่ายสุทธิทางบัญชี” ที่กำลังดำเนินการปิดบัญชีกันอยู่ เป็นจำนวนมาก
พวกผมไม่ใช่พวกที่บริหารเศรษฐกิจของประเทศแบบเช้าชามเย็นชาม เศรษฐกิจจะโต หรือไม่โตก็แล้วแต่ยถากรรม เวลาเศรษฐกิจไม่โตต่างหากที่เรียกว่าเป็นความเสียหาย ทุกๆ ร้อยละหนึ่งของ จีดีพี ที่ต่ำไปจากที่ควรเป็น หมายถึงความเสียหายประมาณ 120,000 ล้านบาทต่อปี เช่นในปี 2557 ที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจโตเพียงร้อยละ 0.7 ในขณะที่ทุกๆ ประเทศในอาเซียน โตเอาโตเอา นี่แหล่ะความเสียหาย จะให้เรียกค่าเสียหายจากใครก็เชิญคิดกันเอาเอง
“ปิดบัญชีฯ โครงการก็ยังทำกันไม่ถูกต้องเรียบร้อย ถอดถอนท่าน อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ทำกันอย่างรวบรัดเร่งรีบ ยอมรับกันเองในมติในชั้นกล่าวหาว่าไม่พบว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริต หรือมีส่วนรู้เห็น แต่ตอนไปแถลงคดี ก็ใช้วาทกรรมว่า ส่อนั่น ส่อนี่ นี่ยังจะส่งเรื่องให้ส่วนราชการ ดำเนินการทางแพ่งต่อทั้งที่รู้แก่ใจว่าเป็นโครงการที่ก่อให้เกิด ประโยชน์ทางเศรษฐกิจสุทธิเป็นบวก มิน่าล่ะคนทั้งสังคมเขาถึงรู้สึกว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง นี่ยังไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เคยถูกดำเนินการอะไรอย่างจริงจังสักเรื่องเดียว ทั้งที่สังคมเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีการทุจริตประพฤติมิชอบ ความยุติธรรมอยู่ไหน...”