ผ่าประเด็นร้อน
“ถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่ย้าย แค่นั้นเอง ไม่มีความผิดก็ไม่มีคดี อย่าไปมองว่าเป็นการรังแก วันนี้ผมรังแกใครไม่ได้ ย้ายให้ทุกคนมีโอกาสในการทำงาน ให้ทุกคนกระตือรือร้น และต้องมีการสอบโดยคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช. ร่วมกับคณะของรัฐบาล ไปไล่จี้ในพื้นที่ด้วยกันว่ามีงบประมาณแผนงานอย่างไร ตรงกับประชาชนหรือไม่ เบิกจ่าย มีเกียร์ว่างหรือไม่ ทุจริตตรงไหน ทำถึงขนาดนี้ ถามว่ารัฐบาลอื่นเขาทำไหม ถ้าทำกันคงไม่มีคดีจนถึงวันนี้”
นั่นเป็นคำพูดของ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวออกมาแบบไม่อ้อมค้อมหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบในคำสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ของกระทรวงมหาดไทย ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการ ราว 10 ตำแหน่ง เมื่อวันอังคารที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา และเป็นการอธิบายเหตุผลของคำสั่งย้ายข้าราชการนอกฤดูกาลครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากที่เคยมีการโยกย้ายครั้งแรกเมื่อครั้งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปีที่แล้ว
หากตีความหมายจากคำพูดข้างต้นของ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เข้าใจว่าจะต้อง “มีรายการใหญ่” ตามมาอีก ทั้งอาจมีการโยกย้าย สอบสวนทางวินัย จากเรื่องการทุจริต การเบิกจ่ายงบประมาณไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ รวมไปถึงการย้ายพวกที่ไม่สนองนโยบายรัฐบาลหรือที่เรียกว่า “เกียร์ว่าง” นั่นแหละ แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ ก็ตาม
ที่ผ่านมา หากสังเกตให้ดีจะได้ยินข่าวหนาหูออกมาเรื่อยๆ ว่า ในกระทรวงมหาดไทยเริ่มมีรายการ “เกียร์ว่าง” และหากจำไม่ผิดเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยเอ่ยปากออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดออกมาให้ได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่ได้ระบุหน่วยงานออกมาตรงๆ เท่านั้น ตอนนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่าย การขับเคลื่อนมาตรการเพื่อกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วนเมื่อปลายปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากเรื่องเกียร์ว่างดังกล่าว เชื่อว่าไม่ได้มีอยู่แค่ในกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น แต่มีอยู่แทบทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะในวงการตำรวจ เพียงแต่ว่ายังไม่กล้าแสดงอาการออกมาให้เห็นเด่นชัดนัก แต่สำหรับในกระทรวงมหาดไทย ที่เป็นงานฝ่ายปกครองในพื้นที่ย่อมเห็นผลในทางปฏิบัติได้มากกว่า ซึ่งสาเหตุของเกียร์ว่างดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากพวกข้าราชการที่เติบโตมาจากการเมือง พวกรับใช้นักการเมือง เป็นมือไม้ของอำนาจการเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจคนพวกนี้ก็เลือก “รอ” ให้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ไม่นาน ก็ต้องมีการเลือกตั้งระหว่างนี้จึงต้องวางเฉย จึงเป็นที่มาของเกียร์ว่าง ดังกล่าว
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่าจะต้องมีการโยกย้ายอีกล็อตตามมา ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลประกอบของ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พิศิษฐ์ ลีลาวัชโรภาส ที่ระบุถึงการทุจริตในการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืชวงเงินงบประมาณ 7 พันล้านบาท ข้อมูลว่ามี 16 จังหวัดในภาคอีสานและภาคเหนือที่ต้องมีการสอบสวนเอาผิดทางวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานเกิดการทุจริตสูงมาก โดยมีตัวละครชื่อ “เสี่ยอ้วน” เป็นคนถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ประสานงาน มีหัวคิวไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์
ตามข่าวบอกว่ากำลังมีการขอเปิดอัตราตำแหน่งใหม่จาก ก.พ. เป็นการเฉพาะกิจราว 10 ตำแหน่งเป็นระดับ “ที่ปรึกษา” พร้อมๆ กับการสอบสวนเอาผิดทางวินัยและอาญา ดังนั้น จึงคาดหมายว่าจะมี “ฟ้าผ่า” กันลงมาอีก
แน่นอนว่าการสั่งย้ายนอกฤดูกาลเป็นล็อตใหญ่แบบนี้สำหรับกระทรวงมหาดไทยย่อมถูกจับตามอง ทุกสายตาย่อมจับจ้องมาทันที ขณะเดียวกันหากมองในแง่การบริหารปกครองมันก็เหมือนกับรายการ “เชือดโชว์” สำหรับพวกเกียร์ว่างรอเปลี่ยนแปลงอำนาจ จะได้เปลี่ยนใจและปรับตัวกันใหม่หรือเปล่า
ดังนั้น งานนี้ถือว่าเป็น “บทเข้ม” ที่เริ่มทำงานกันตั้งแต่ต้นปี เพราะถือว่าทุกอย่างเริ่มงวดเข้ามาแล้ว เพราะถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ผลงานและศักยภาพที่แท้จริง และในท่ามกลางแรงกดดันรอบข้างองคาพยพที่มีอยู่ก็ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน หากไม่เคลื่อน หรือหยุดเฉยๆ มันก็อาจทำให้เครื่องรวนจนพังได้เหมือนกัน !!