เลาะตะเข็บปมปริศนา “มือปืน” ฆ่า “สุทิน” แกนนำ กปปส.จบชีวิตในคุก “เสื้อแดง” ยังแคลงใจ “ไอ้โม่ง” เบื้องหลัง...ใครกันแน่ระหว่างฝ่ายตรงข้ามกับคนกันเอง ชี้ 11 มม.ทูตมรณะหลักฐานสำคัญ วางแผนกันเหนือชั้น ลือแซดตำรวจมะเขือเทศเอามาจำนำไว้
หากย้อนเวลากลับไปในช่วงเดียวกันของปีก่อน... กรุงเทพมหานครยังเต็มไปด้วยความวุ่นวายอันสืบเนื่องมาจากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557 อันเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า มีการตรึงกำลังทหาร-ตำรวจทุกจุดทั่วประเทศ เพราะมวลชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ กปปส. ลุกขึ้นต่อต้านอย่างเต็มกำลัง มีการระดมผู้คนชุมนุมคัดค้าน “ชัตดาวน์” กรุงเทพฯ และแยกย้ายไปขัดขวางการเลือกตั้งตามคูหาต่างๆ
11.30 น.วันเดียวกัน ณ หน่วยเลือกตั้งล่วงหน้าเขตบางนา ภายในวัดศรีเอี่ยม กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.นำโดย นพ.รวี มาศฉมาดล และ นายสุทิน ธราทิน แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบบทักษิณ หรือ กปท. พร้อมมวลชนจำนวนหนึ่งเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปตามถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ เนื่องจากทราบว่ายังเปิดให้ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าได้อยู่ เมื่อขบวน กปปส.ไปถึงวัดศรีเอี่ยม แกนนำได้เข้าไปเจรจากับ ผอ.หน่วยเลือกตั้งเพื่อให้ปิดคูหา ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมีการประกาศปิดให้ประชาชนลงคะแนนเสียงก่อนกำหนด กลุ่มมวลชน กปปส.จึงเดินทางกลับ
ในระหว่างพ้นจากวัดกำลังมุ่งหน้าไปตามถนนศรีนครินทร์ แกนนำโดยนายสุทินยังคงทำหน้าที่ปราศรัยบนรถบรรทุก 6 ล้อ ระหว่างนั้นเองมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากยกพวกมาดักรอและปิดทางเข้าวัดเพื่อไม่ให้หนี จากนั้นชายฉกรรจ์ในกลุ่มคนเสื้อแดงได้ใช้อาวุธนานาชนิดทั้งท่อนเหล็ก ไม้หน้าสามวิ่งไล่ตีกลุ่มมวลชน กปปส. บรรยากาศเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ส่วนทางด้านนายสุทินที่ยืนปราศรัยอยู่มีคนร้ายสวมเสื้อลายพรางทหารวิ่งเข้าไปด้านหลังแล้วใช้อาวุธปืนสั้นยิงใส่นายสุทินหลายนัดกระสุนถูกบริเวณศีรษะ และลำคอ กับบริเวณอกขวาอย่างละ 1 นัด ภายหลังเหตุการณ์สงบมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน ส่วนนายสุทินเสียชีวิต
การจบชีวิตของนายสุทินยิ่งเพิ่มบรรยากาศตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ขณะที่การชุมนุมของ กปปส.ยังคงยืดเยื้อต่อไป สลับกับเหตุการณ์มีคนร้ายลอบใช้อาวุธสงคราม เอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมบาดเจ็บล้มตายรายวัน สภาพทั่วไปของกรุงเทพมหานครไม่ต่างอะไรจากสงครามกลางเมือง แม้จะเป็นการห้ำหั่นระหว่างคนไทยสองกลุ่มที่ขัดแย้งกันเอง แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นต่างๆ ทั้งความรู้สึกของประชาชนทั่วไปในเรื่องชีวิต และทรัพย์สิน ยังรวมถึงการดำเนินชีวิตตามปกติที่ไม่สามารถทำได้
ท่ามกลางกระแสที่กดดันรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นอย่างหนัก ยังรวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็น ผบ.ตร.ในขณะนั้น ต่อมาตำรวจชุดคลี่คลายคดีนำโดย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม (ในขณะนั้น) เปิดแถลงข่าวจับกุม นายสุรกริช ชัยมงคล ผู้ต้องหายิงนายสุทิน แกนนำ กปท.ได้ที่บ้านพักย่านพระประแดง สมุทรปราการ จากพยานหลักฐานในเบื้องต้นเชื่อว่านายสุรกริชคือมือปืนที่ลงมือยิงนายสุทินอย่างแน่นอน แต่การสอบปากคำ นายสุรกริชภาคเสธ ยอมรับเพียงว่าเป็นเจ้าของปืน 11 มม.ทูตมรณะจริง แต่ไม่ได้เป็นคนลงมือยิง ส่วนนายธวัชชัย พรหมจันทร์ ที่มีข่าวก่อนหน้าว่าเป็นผู้ต้องสงสัยยิงนายสุทิน และออกหมายจับไปนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะเป็นแกนนำ กปท.ฝ่ายเดียวกับผู้ตาย ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
พล.ต.ท.ชัยยง กีรติขจร ผู้ช่วย ผบ.ตร.คณะทำงานกล่าวในการแถลงข่าวด้วยว่า การออกหมายจับนายสุรกริชเนื่องจากชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุและนำภาพวงจรปิดมาดูซ้ำๆ กันกว่า 20 รอบ พบว่าวิถีการยิงมาจากล่างขึ้นบน กระสุนเข้าราวนมขวาเฉียงขึ้นทะลุศีรษะเป็นรูใหญ่ ตรวจพบว่าเป็นปืนขนาด 11 มม.ยิงระยะใกล้ไม่เกิน 20 เมตร จึงจำกัดวงคนร้ายต้องอยู่ในระยะรัศมีไม่เกิน 20 เมตรรอบตัวนายสุทิน ทำให้ต้องตัดคนอื่นออกไป นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุน 2 หัว และปลอกขนาดเดียวกันจำนวน 4 ปลอก จึงนำไปตรวจเปรียบเทียบกับอาวุธปืนที่เคยใช้ก่อเหตุในระบบตำรวจก็พบว่าตรงกับอาวุธปืน 11 มม.กระบอกหนึ่งที่นายสุรกริชเป็นผู้ครอบครอง และเคยมีประวัติถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธปืนมาก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นยังให้พยานที่เห็นเหตุการณ์ยืนยันภาพที่เกิดเหตุเป็นคนเดียวกับนายสุรกริชหรือเปล่า ซึ่งพยานยืนยันตรงกัน จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ
ต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557 หลังจากทหารเข้ายึดอำนาจจนบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ก็มีข่าวว่านายสุรกริช ชัยมงคล ผู้ต้องหารายสำคัญในคดียิงแกนนำเครือข่าย กปปส. เสียชีวิตจากโรคประจำตัวอย่างกะทันหัน และเสียชีวิตเมื่อตอนเย็นวันเดียวกัน
การตายของนายสุรกริชสร้างความเคลือบแคลงใจแก่ญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนางอารีย์ ชัยมงคล มารดาผู้ตาย ที่ไม่เชื่อว่าอาการเบาหวาน หรือหอบหืด จะมาพรากชีวิตลูกชายไปได้ เพราะยังแข็งแรงปกติทุกอย่าง ก่อนตายนายสุรกริชยังบอกกับตนว่าในคุกมีคนจ้องปองร้าย อีกทั้งสภาพศพก็มีรอยฟกช้ำดำเขียว จึงต้องการขอความยุติธรรมจากทุกฝ่าย ต่อมามีการนำศพไปให้ นพ.สลักธรรม โตจิราการ แพทย์ รพ.ตำรวจ บุตรชายของ นพ.เหวง โตจิราการ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงทำการผ่าชันสูตรศพ แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแจ้งผลใดๆ ต่อสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านมาจนครบรอบ 1 ปี และในวัน 26 มกราคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำ กปปส. พร้อมนายสาโรจน์ ธราทิน มารดาและบุคคลในครอบครัวของนายสุทิน ธราทิน อดีตแกนนำ กปท. รวมทั้งนายทศพล แก้วทิมา แกนนำอีกคนหนึ่งพร้อมมวลชนกว่า 20 คนเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ให้เร่งรัดความคืบหน้าของคดี โดยนายสมศักดิ์แสดงความข้องใจว่าหลังมีการออกหมายจับชายไม่ทราบชื่อ 1 ราย และนายสุรกริช ชัยมงคล ได้เมื่อช่วงกลางปี 57 แต่ต่อมานายสุรกริช เสียชีวิตในเรือนจำฯ โดยสงสัยว่าการตายมีความผิดปกติหรือไม่ ผู้ต้องหารายนี้เป็นตัวจริงหรือเปล่า และชายไม่ทรายชื่อคือใคร อีกทั้งทำไมการสอบสวนดำเนินคดีจึงล่าช้าผ่านมา 1 ปียังไม่สามารถปิดคดีได้
การเคลื่อนไหวล่าสุดของแกนนำ กปปส.ในโอกาสครบรอบการเสียชีวิต 1 ปีของนายสุทิน ธราทิน จึงสอดคล้องกับข้อมูลบางอย่างที่ถูกเก็บงำไว้เป็นความลับ โดยที่แม้แต่มวลชนคนเสื้อแดง หรือกลุ่ม นปช.ก็ยังข้องใจต่อการตายของนายสุรกิจ ชัยมงคล อดีตมือปืนที่ล้มป่วยตายในคุกเช่นเดียวกัน ข้อมูลที่ว่าคือ ปริศนาอาวุธปืนขนาด 11 มม. ที่จนป่านนี้พนักงานสอบสวนพิสูจน์ทราบหรือยังว่าเป็นของนายสุรกริช หรือของใคร โดยกระแสข่าวทางหนึ่งระบุว่าเป็นของตำรวจนายหนึ่งที่มาฝากจำนำกับนายสุรกริช ดังนั้น การถือครอบครองที่พนักงานสอบสวนกล่าวอ้างมานั้นเป็นการครอบครองในลักษณะไหน
นอกจากนั้นยังมีการพูดคุยหรือเล่าต่อในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยว่า ก่อนนายสุรกริชถูกตำรวจจับเพียงไม่กี่วัน บรรดาเสื้อแดงทั้งในสาย “ตำรวจมะเขือเทศ” และการ์ด นปช.ต่างส่งสัญญาณไปยังครอบครัวนายสุรกริช เพื่อให้ไหวตัวล่วงหน้าว่าอาจจะมีการจับแพะ หรือโยนความผิดให้เขา แต่นายสรกริชไม่เชื่อกระทั่งมาถูกจับกุมดังกล่าว...
และที่เป็นคำถามค้างใจคนเสื้อแดงมากที่สุดก็คือ การเสียชีวิตของนายสุรกริชแบบค้านความรู้สึกนั้น ตกลงว่าใครกันแน่ที่เป็นไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง ระหว่างฝ่ายตรงข้าม หรือคนกันเอง!?