xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกากลับจำคุก 10 ปี “ร.ต.อ.เจษฎา” ไล่ยิงโชเฟอร์แท็กซี่

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำคุก 10 ปี “ร.ต.อ.เจษฎา” อดีตรองสารวัตรสืบ สน.ห้วยขวาง พยายามฆ่าโชเฟอร์แท็กซี่ปี 53 ชี้ผู้เสียหายสามารถชี้ตัวและจดจำใบหน้าได้อย่างชัดเจน

เมื่อเวลา 09.45 น. วันนี้ (24 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีหมายเลขดำ อ.850/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.อ.เจษฎา เจตภรณ์ อายุ 31 ปี อดีตรองสว.สส. สน.ห้วยขวาง เป็นจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490

โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2553 เวลากลางคืน จำเลยใช้อาวุธปืนกล็อก ออโตเมติก ขนาด 9 ม.ม. ยิงนายมณเฑียร จิตตระกูล อายุ 46 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ ผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล เหตุเกิดที่ ซ.จำเนียรเสริม แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. โดยจำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่า ขณะเกิดเหตุเข้าเวรอยู่ที่ สน.ห้วยขวาง ส่วนที่ไม่ส่งมอบปืนให้แก่พนักงานสอบสวนเนื่องจากไม่มั่นใจในกระบวนการสอบสวนของตำรวจ

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2555 นาย มณเฑียร ผู้เสียหาย เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ขณะขับรถสวนกับรถตู้ของจำเลย พบจำเลยอยู่ในสภาพหน้าแดงคล้ายคนเมาสุรา จอดรถขวางอยู่กลางซอย จำเลยตะโกนถามว่า “จะถอยหรือไม่” พร้อมชักปืนขู่แล้วขู่ว่า “จะเอาไหมๆ” แล้วยิงปืนข่มขู่ เห็นว่าผู้เสียหายสามารถจดจำใบหน้าและชี้ตัวจำเลยได้อย่างชัดเจน พิพากษาฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2556 พิพากษากลับยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าในวันเกิดเหตุได้ขับรถแท็กซี่ระหว่างนั้นมีรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด จอดขวางทางอยู่ โดยคนร้ายได้ลดกระจกลงและพูดจาข่มขู่ว่าให้พยานถอยรถ พยานจึงขับรถถอยหลังไป ต่อมาคนร้ายได้ขับรถมาเทียบกับพยานพร้อมใช้อาวุธปืนเล็งและยิงที่ศีรษะของพยาน แต่กระสุนพลาดเป้าถูกบริเวณขอบกระจกของรถ ซึ่งขณะเกิดเหตุแม้จะเป็นว่าเวลาคืนแต่ก็มีแสงไฟสว่างเพียงพอและตัวพยานกับจำเลยอยู่ห่างกันเพียงแค่ 1 เมตร ทำให้พยานสามารถมองเห็นใบหน้าของจำเลยได้อย่างชัดเจน จึงมีเหตุให้พยานจดจำรูปพรรณสัณฐานของจำเลยได้ไม่ผิดตัว ต่อมาผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความโดยบ่งบอกถึงลักษณะของรถและใบหน้าของจำเลยได้ รวมทั้งชี้ตัวยืนยันได้อย่างถูกต้องตามบันทึกการสอบสวน

โจทก์ยังมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานตรวจรถของผู้เสียหายและวิถีกระสุนปืน ซึ่งพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ที่บริเวณก้านปัดน้ำฝน ลักษณะการยิงจากหน้าไปหลัง จากขวาไปซ้าย มุมยิง 60 องศา เมื่อเปรียบเทียบกับรถตู้ของจำเลยกับรถของพยานพบว่าระดับความสูงสอดคล้องกับรอยกระสุนตามจุดเกิดเหตุ พยานโจทก์ยังตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ซึ่งตกในที่เกิดเหตุยังตรงกับปลอกกระสุนที่จำเลยได้ก่อเหตุยิงนาวาเอกวุฒิชัย บุญฤทธิ์ นายทหารสังกัดกรมกำลังพล พระราชวังเดิม กองทัพเรือ เสียชีวิต ที่จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอีกสำนวน โดยพบว่าปลอกกระสุนดังกล่าวถูกยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกันคืออาวุธปืนกล็อก ยี่ห้อรูเกอร์ ผลิตจากประเทศออสเตรีย ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติทะเบียนการครอบครองอาวุธปืนก็พบว่าจำเลยมีอาวุธปืนชนิดดังกล่าวไว้ในการครอบครอง แต่ไม่ยอมส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์ โดยอ้างว่าไม่มั่นใจในกระบวนการสอบสวนของตำรวจ

เห็นว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจย่อมทราบดีว่าคดีพยายามฆ่ามีอัตราโทษสูง ถ้าหากจำเลยไม่ได้กระทำผิดจริงก็ควรจะนำส่งอาวุธปืนซึ่งอยู่ในการครอบครองของจำเลยไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์ โดยจำเลยก็ยังรับว่ามีอาวุธปืนขนาด 9 มม. อยู่ในความครอบครองของจำเลยจริง แต่ที่จำเลยไม่ยอมส่งอาวุธปืนให้ตรวจพิสูจน์โดยอ้างว่ากระบวนการสอบสวนนั้นไม่ชอบเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ร.ต.อ.เจษฎา ยังถูกฟ้องเป็นคดีอีกสำนวนหนึ่ง ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อ. 841/2554 จากกรณีใช้อาวุธปืนยิง นาวาเอกวุฒิชัย บุญฤทธิ์ นายทหารสังกัดกรมกำลังพล พระราชวังเดิม กองทัพเรือ เสียชีวิตคารถยนต์ปิกอัพ ในท้องที่ สน.ห้วยขวาง เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2553 ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ชัดเจนเพียงพอ








กำลังโหลดความคิดเห็น