ผ่าประเด็นร้อน
“ผมไม่ทราบเหมือนกัน คนที่เริ่มจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คนที่พูดคนแรกรู้ตัวดี ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน ไม่ขอขยายความต่อไป ทุกคนที่มาลงเรือพยายามแก้ไขปัญหา แต่ทุกอย่างต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคน หากยังคิดแล้วมาพูดต่างๆ มันทำให้รัฐนาวาของเราเดินได้ไม่เรียบ ถ้าเดินเรียบมันจะแก้เร็ว หากคลื่นแรงเรือก็ช้า ถ้าเราอยากให้เรือไปถึงฝั่งเร็วก็ต้องไม่ให้มีคลื่น เพราะฉะนั้นใครจะคิดอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดคลื่นต้องไม่ตอบเรื่องเหล่านั้น มันจะได้เรียบและสำเร็จโดยเร็ว”
คำพูดของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ที่ออกมายืนยันไม่มีความกดดันให้ “สามนายพล” คือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้านายทหารฝ่าย เสธ. ประจำผู้บังคับบัญชา กองทัพบก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลาออกจากตำแหน่งในกองทัพ แล้วให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว โดยอ้างว่าการควบสองสถานะดังกล่าวทำให้งานในกองทัพชะงักงัน
ขณะเดียวกัน ตามรายงานข่าวที่เผยแพร่ในสื่อหลายแห่งระบุตรงกันถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน โดยโฟกัสไปที่กองทัพบก ก็มีแคนดิเดตไปที่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก หาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ต้องลุกออกไป ก็คือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก รวมไปถึงจะมีการโยกเก้าอี้อื่นๆ ตามกันมา เช่น จากแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น ซึ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปถึงหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนายทหารในสาย “บูรพาพยัคฆ์” ที่เติบโตต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และล่าสุด เป็น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่ล้วนเติบโตมาจากเส้นทาง กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร 2 รอ.) กับน้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่โตมาในเส้นทางกองทัพภาคที่ 3 ว่าจะไปต่อกันแบบไหน
อย่างไรก็ดี จากคำพูดของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบกที่ยืนยันล่าสุดว่าไม่มีปัญหาเรื่องการนั่งควบเก้าอี้ ไม่ทำให้งานชะงัก ในทางตรงข้ามยังเป็นส่งเสริมกันเสียอีก และแม้ว่าเขาจะไม่ยอมตอบว่ารายงานข่าวดังกล่าวถูกปล่อยออกมาจากภายในกองทัพหรือไม่ เพียงบอกให้หยุดการพูดถึงเรื่องนี้
แต่หากพิจารณาจากเป้าหมายรับรองว่านี่เป็นการหวังผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปไกลพอสมควร เป็นการเขย่าเรือทั้งลำ ถ้าเปรียบเหมือน “คลื่น” ก็ต้องระมัดระวัง แม้ว่าหากมีการเปรียบเปรยกันว่าหากนี่คือ “เรือแป๊ะ” เมื่อลงเรือลำนี้มาแล้วก็ต้องเชื่อฟังแป๊ะ แต่เมื่อเกิดอาการแบบนี้มันก็เริ่มหวั่นใจได้เหมือนกัน เพราะหากเป็นคนคิดมากก็ต้องตั้งข้อสังเกตได้ว่านี่เป็นข่าวปล่อยออกมาหลังจากที่มีการตบเท้าเข้าอวยพรปีใหม่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ในวันนั้นได้มีการเรียกร้องให้คนในกองทัพ สนับสนุนรัฐบาล และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมองดูเผินๆ อาจไม่ใช่เป็นการกดันโดยตรงกับตัวผู้นำทั้งในกองทัพและรัฐบาล แต่ความหมายก็คือกระทบชิ่งให้กระเทือนกันเป็นลูกระนาด ทำให้เห็นภาพว่าภายในกองทัพยัง “มีคลื่นใต้น้ำ” แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสร้างแรงกระเพื่อมส่งผลออกมาให้เห็นได้ แต่อาการที่เห็นมันก็สามารถสร้างจุดสังเกตให้คนภายนอกได้มองเข้าไปข้างในแบบปัจจุบันทันด่วนได้เหมือนกัน
เพราะคำพูดของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่ว่าถ้าเกิดคลื่นมันก็อาจทำให้นาวาเดินไม่เรียบ หากต้องการให้เรือถึงฝั่งเร็วก็ต้องไม่ให้มีคลื่น มันก็น่าคิดเหมือนกันนะ !!