xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ครวญ “มันเอาใจยากจริงๆ โว้ย” ยันเปิดเวทีรับความคิดเห็นให้ แต่ด่าไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” สั่งรับเรื่องความเห็นปฏิรูปพร้อมเปิดเวทีนักศึกษา - นักวิชาการ แต่ด่า คสช.- รัฐบาลไม่ได้ บ่นเอาใจยาก ครวญเห็นใจบ้าง อย่าต่อต้าน แจงเด้ง 5 ตำรวจขอนแก่น เรื่องภายใน ทำเพื่อไม่ให้เกิดเยี่ยงอย่าง ตำรวจคงไม่ระแวง ส่วนของขวัญปีใหม่เน้นจับจ่าย - ท่องเที่ยว - ปฏิรูปที่ดิน ติดตลกรถไฟไทย - จีน ใช้ได้ชาติหน้า ไป ลาว - เวียดนาม ดูกรอบความร่วมมือ

วันนี้ (25 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเรื่องแนวทางเปิดเวทีให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นว่า จากเท่าที่ฟังการประชุมสภาประชาชนก็ดี ฟังแล้วก็มีเหตุมีผล โดยเฉพาะการพูดของ นายเดช พุ่มคชา ตัวแทนภาคประชาสังคม เขาคิดในแง่ของประชาชน

“ผมได้สั่งไปให้ไปรับเรื่อง เพราะนั่นคือปัญหา แต่จะทำอย่างไรให้มาสู่การปฏิบัติได้ ไม่ใช่ประชุมแล้วด่า คสช. ด่ารัฐบาล แบบนี้ไม่ได้ ผิดด้วยสถานการณ์ ในเมื่อบางอย่างเราขอร้องกันแล้ว จะเห็นว่าเราไม่ได้มาลงโทษใครเด็ดขาด เห็นใจผมบ้าง ผมรับหมดนะ ไม่ว่าจะเป็นประชุมธรรมศาสตร์ ประชุมสภาประชาชน ผมก็บอกว่าให้ไปรับเรื่องมา แถมผมบอกว่าให้ไปเปิดเวทีให้นักศึกษา นักวิชาการ ส่งตัวแทนเข้ามา ถ้าอย่างนี้เขามา และถ้าไม่เข้ามาอย่าไปเรียกข้างนอก หรือเข้ามาแล้วถูกบังคับอีกไม่ได้อีก แหมมันเอาใจยากจริงๆ โว้ย ก็เปิดมาแล้วก็คุยกันไป สรุปมาเป็นเอกสาร แต่มาโน้นนี้มาว่าว่าความรู้สึกช้าไปหรือเปล่านะ อย่ามาต่อต้านกันวันนี้เลย” นายกฯ กล่าว

ส่วนกรณีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจ จ.ขอนแก่น 5 นาย ไปประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 4 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องเป็นเรื่องภายในของตำรวจ ที่อาจจะมีปัญหาก็ต้องมีการลงโทษ ไม่ใช่เพราะออกมาต่อต้านตน ซึ่งตำรวจได้ชี้แจงมาว่าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพื่อให้เป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป ซึ่งได้พูดคุยกันแล้วตำรวจก็เข้าใจ เชื่อว่าไม่ได้เป็นการบั่นทอนกำลังใจ และต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย และต้องเข้าใจตำรวจ และเข้าใจตนว่าทำไมไม่ให้จับนักศึกษาเหล่านั้นไป เพราะเมตตาเด็กเหล่านั้น ซึ่งตำรวจเองก็ถือเป็นผู้เสียสละยอมทุกอย่างเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ตนจึงไม้ได้ต้องการไปลงโทษหรือให้ร้ายตำรวจ

เมื่อถามว่าจะทำให้การลงพื้นที่ในครั้งต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเกิดความหวาดระแวงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ไม่ใช่การระแวง แต่เป็นเรื่องการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าไม่มีเหตุการณ์ก็ไม่ถูกลงโทษ ตำรวจก็ระวัง ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดขึ้นอีก ไม่ใช่เป็นเพราะผมกลัว ผมไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว ใครจะใจร้ายกับผมก็เชิญ แต่มันเป็นไปตามกติกา ต่อหน้าคนของสังคมมากมาย มีทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ จะให้เกิดความขัดแย้งไม่ได้”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงมาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ว่า เรื่องดังกล่าวมีมาตรการทุกกระทรวง โดยจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุขในการจับจ่ายใช้สอย โดยทุกกระทรวงมีครบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการเงิน ด้านการลงทุน เพื่อความมั่นคงอนาคต อย่างเช่น โครงการหนี้สินส่วนบุคคล เป็นต้น วันนี้ทุกคนก็เป็นห่วงเรื่องของการมีหนี้มากขึ้น ก็ต้องดูว่ามีขีดความสามารถในการใช้หนี้หรือเปล่า ทุกคนมีโอกาสเป็นหนี้ทั้งนั้น เมื่อเป็นหนี้แล้วก็ต้องวางแผนในการใช้จ่ายให้ดีว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่พอกพูนจนถึงขั้นล้มละลาย โดยมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง กระทรวงการคลังมีกองทุนนาโน แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง มีของขวัญเซอร์ไพรส์ประชาชน

ทั้งนี้ ของขวัญปีใหม่ไม่ใช่การแจกของ แต่เป็นเรื่องการจับจ่ายใช้สอย การท่องเที่ยว การปฏิรูปที่ดินอย่างยั่งยืน รวมถึงกฎหมายลดความเหลื่อมล้ำ อำนาจฝ่ายบริหาร ตำรวจ ศาล จะต้องไม่ทับซ้อนกัน คำนึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คำนึงถึงแค่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือประชาชนอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทำให้เกิดผลกระทบวงกว้าง กระบวนการตุลาการก็เช่นเดียวกัน ไม่ควรไปทับซ้อน ส่วนมาตรการด้านภาษี เรื่องภาษีมรดก จะต้องไปในชั้นกรรมาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าว่า 1 ปีจะต้องออกกฏหมาย 163 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ การค้าการลงทุน รวมถึงพันธสัญญาต่างๆ ขณะนี้ที่ประชุม ครม. ยังไม่มีการพิจารณากฎหมายการร่วมทุน

เมื่อถามว่า คนไทยจะได้ใช้รถไฟทางคู่เส้นทางไทย - จีน ได้เมื่อไร นายกฯ กล่าวติดตลกว่า “ชาติหน้า” พร้อมชี้แจงว่า ร่างข้อตกลง (เอ็มโอยู) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ มีกรอบอยู่แล้ว เป็นความร่วมมือระหว่างเส้นทางของไทยกับจีน ซึ่งอยู่ในระหว่างการพูดคุย แต่ยังไม่มีการคุยถึงเรื่องงบประมาณ โดยจะต้องนำเข้าดังกล่าวสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 26 - 27 พ.ย. ว่า เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แม้ส่วนตัวเจอกันมา 3 การประชุมแล้ว และรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบกแล้วก็ตาม การเดินทางไปเพื่อดูว่ากรอบความร่วมมือต่างๆ ระหว่างประเทศในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีการเดินหน้าไปมากน้อยเพียงใด ซึ่งวันนี้จะมีการขับเคลื่อนในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงการประชุมเอเปก ก็ต้องไปดูว่าจะขับเคลื่อนด้วยกันอย่างไร ทำอย่างไรให้ 10 ประเทศในอาเซียนร่วมมือกันได้ ไทยมีพื้นฐานด้านเกษตร รวมถึงการแพทย์ ต้องแบ่งกับประเทศต่างๆ ว่าใครจะเป็นศูนย์กลางทางด้านใด โดยที่ทุกชาติต้องได้ผลประโยชน์เพื่อมีอำนาจต่อรองกับประเทศอื่นๆ




กำลังโหลดความคิดเห็น