xs
xsm
sm
md
lg

พลิกแฟ้มคดี “สรยุทธ-ไร่ส้ม” ตัวการใหญ่ยังลอยนวล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

ยื้อยุดชุดกระฉากกันมาหลายเดือน ที่สุด “อัยการสูงสุด” (อสส.) ก็รับลูกจาก “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) สั่งฟ้อง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา" นักเล่าข่าวชื่อดัง และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด พร้อมด้วยผู้ถูกกล่าวหาอีก 2 ราย ฐานยักยอกเงินโฆษณาจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จนได้รับความเสียหาย 138,790,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานนองค์การหรือหน่วยงานรัฐ

หลังจากนี้คณะผู้แทน อสส. ในฐานะ “ทนายแผ่นดิน” จะมีการประชุมสรุปร่วมกับผู้แทนของ ป.ป.ช.อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นฟ้องเป็นคดีอาญาตามกฎหมายต่อไป

ถึงขั้นนี้ “เฮียยุทธ” ต้องก้าวเท้าขึ้นโรงขึ้นศาลอย่างแน่นอน เพราะฝ่าย ป.ป.ช.จุดยืนเดิมหนักแน่นอยู่แล้วว่า สำนวนคดีมีความสมบูรณ์สามารถส่งฟ้องได้ทันที แต่ฝ่าย อสส.ต่างหากที่ดูจะประวิงเวลาพยายามเสนอให้สอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องหยุมหยิมไม่ใช่สาระสำคัญของคดี

ย้อนที่มาที่ไปของคดีฉาวที่กลายเป็นตราบาปของ “สรยุทธ-ไร่ส้ม” มาจนถึงทุกวันนี้ โดย “เฮียสอ” ได้เข้ามาร่วมงานกับทาง อสมท ตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย. 46 รับการว่าจ้างเป็นผู้ดำเนินรายการ “ถึงลูกถึงคน” จนได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ก่อนที่จะตั้ง “บริษัท ไร่ส้ม จำกัด” ผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทาง อสมท ระหว่างปี 2547-2549 โดยมีตัวเองเป็นผู้ดำเนินรายการเอง

ตามสัญญาระบุว่า ในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ วันละ 1 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. จะมีการโฆษณาได้ครั้งละ 5 นาที หากเกินจากนั้นให้เสียค่าโฆษณาให้กับ อสมท นาทีละ 2 แสนบาท ส่วนรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ที่ออกอากาศวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 21.30-22.00 น. โฆษณาได้ไม่เกิน 2.30 นาที หากเกินต้องจ่ายเงินให้ อสมท นาทีละ 2.4 แสนบาท


เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อช่วงปี 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า “บ.ไร่ส้ม” ของ “เฮียสอ” ค้างรายได้จากการโฆษณาเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แม้สุดท้ายทาง “บ.ไร่ส้ม” ได้รีบชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ อสมท เป็นเงินจำนวนกว่า 138 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 152 ล้านบาท

จุดนี้กลายเป็นใบเสร็จมัดตัวเองของ “บ.ไร่ส้ม” ที่ยอมรับว่า กระทำผิดชัดเจน

แม้จะได้รับค่าเสียหายคืนแล้ว แต่ทาง อสมท ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงสองชุดด้วยกัน คณะหนึ่งมี “พลชัย วินิจฉัยกุล” และอีกคณะดึง “มือปราบโกง” อย่าง “พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ” มาเป็นประธานสอบ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิอีกคับคั่งทั้ง “นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ-ธานี สมบูรณ์ทรัพย์-สมัคร เชาวภานันท์-รัตพงษ์ สอนสุภาพ”

ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ทั้งสองชุดพบว่ามีการกระทำผิดจริง โดยทางพนักงาน อสมท ที่เกี่ยวข้องมีส่วนรู้เห็นนับสิบราย แต่ที่ถูกหวยเข้าอย่างจังคือ “พิชชาภา เอี่ยมสอาด” ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด อสมท เพราะมีหน้าที่โดยตรงในการจัดคิวโฆษณาเพียง แต่เมื่อมีโฆษณาเกินเวลา กลับไม่รายงานต่อผู้บังคับบัญชา

แถมยังมีชื่อเป็นผู้รับเช็คที่ “เฮียสอ” ได้ลงลายมือสั่งจ่ายค่าตอบแทนให้อีกหลายฉบับ ซึ่ง “พิชชาภา” ได้ให้การในชั้น ป.ป.ช.รับสารภาพ พร้อมรำพึงด้วยว่า “พี่สรยุทธขอร้องให้ช่วยเหลือ”

สุดท้าย “พิชชาภา” ถูกชี้ว่ามีความผิดทางวินัยร้ายแรง ขณะที่พนักงาน อสมท รายอื่นๆ ก็มีความผิดลดหลั่นกันไป แต่ก็ยากจะเชื่อว่า “พนักงานระดับปฏิบัติการ” หาญกล้ากระทำความผิดทุจริตในระดับร้อยล้านบาทโดยไม่มี “เบื้องหลัง” ได้อย่างไร

เพราะไม่เพียงแต่ตัวเลข 138,790,000 บาท ในส่วนของ “ค่าโฆษณาส่วนเกิน” รายการ “คุยคุ้ยข่าว” โดย “บ.ไร่ส้มฯ” ที่ไม่ได้บันทึกไว้ จนมีคนไปตรวจพบเท่านั้น ความเสียหายของ อสมท ที่คณะกรรมการฯ ชุด “พล.ต.อ.ประทิน” ตรวจพบยังมีในเรื่อง “โฆษณาผี” ที่ไม่ได้ลงในคิวโฆษณาทั้งของ อสมท หรือ “บ.ไร่ส้ม” ที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ตรวจสอบพบได้ยาก เพราะรู้เห็นกันเฉพาะผู้ผลิตรายการกับทางพนักงานที่รับผิดชอบ มีหลากหลายรูปแบบทั้งการวางผลิตภัณฑ์ ชุดที่พิธีกรสวมใส่ การอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ การร่วมสนุกชิงรางวัล หรือกระทั่งการแจกของรางวัลต่างๆ

ต่างๆ เหล่านี้มีมูลค่ามหาศาล และอาจทำให้ตัวเลข 138 ล้านบาทอาจดูเด็กๆไปเลย

คดี “สรยุทธ-ไร่ส้ม” ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยมานาน แต่ก็จะยังเป็นมาตรฐานเดิมๆ เหมือนกับการตรวจสอบทุจริตในหลายๆ คดีที่ปรากฏว่าหน่วยงานที่สอบสวนจะสามารถเอาผิดได้กับเฉพาะพนักงานชั้นผู้น้อย หรือบุคลากรในระดับปฏิบัติการเท่านั้น ซึ่งไม่ต่างกับการ “ตัดตอน” ความผิดให้พนักงานผู้น้อยเป็น “แพะรับบาป” ไปตามระเบียบ ส่วน “ตัวการใหญ่” กลับลอยนวลไปได้ทุกที

เช่นเดียวกับกรณีนี้ที่หากไล่เรียงรายชื่อพนักงาน อสมท ที่ถูกสอบสวนและตั้งข้อหาความผิด นอกเหนือจาก “พิชชาภา” ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในชั้นของ ป.ป.ช.แล้ว ยังมีชื่อหนึ่งที่น่าสนใจมากคือรายของ “ธนะชัย วงศ์ทองศรี” ที่ในขณะเกิดกรณี “คุยคุ้ยข่าว” เมื่อปี 2548 นั่งคล่อมเก้าอี้ใน อสมท อยู่หลายตำแหน่ง ทั้งหัวหน้าฝ่ายกฎหมายธุรกิจ, ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธุรกิจ, รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยใหญ่ สำนักกฎหมายและเลขานุการบริษัท ตลอดจนไปถึง “ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักกลยุทธ์การตลาด”

พูดง่ายๆ คือเป็นผู้บังคับบัญชาของบรรดาพนักงาน อสมท ที่ถูกสอบสวนว่ามีความเกี่ยวพันในการยักยอกค่าโฆษณาร่วมกับ “บ.ไร่ส้ม” นั่นเอง

ในรายงานสอบสวนข้อเท็จจริงระบุไว้ว่า การทำหน้าที่ของ “ธนะชัย” ส่งผลเกิดความเสียหายแก่ อสมท เนื่องจากไม่มีพื้นฐานความรู้การตลาดแม้แต่น้อย ที่สำคัญยังละเลยการควบคุมดูแลการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา จนทำให้เกิดการทุจริตต่อหน้าที่

นอกจากนี้ในฐานะ “ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธุรกิจ” เมื่อรู้ว่ามีการโฆษณาเกินหว่ากำหนดในสัญญา แต่ก็ยังละเลยไม่สั่งการให้ตรวจสอบคิวโฆษณาของ “บ.ไร่ส้ม” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ อสมท แม้แต่น้อย

พิจารณาความเกี่ยวพันของ “ธนะชัย” กับกรณี “สรยุทธ-ไร่ส้ม” แล้ว ถือว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “พิชชาภา” หรือพนักงานคนอื่นๆแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็นถึงระดับผู้บริหารมีหน้าที่ความรับผิดชอบในกรณีนี้หลายด้าน ทั้งในส่วนกลยุทธ์การตลาด และด้านกฎหมาย แต่กลับมีพฤติกรรมอันชวนสงสัยหลายประการ แถมวันนี้ยังได้รับการโปรโมทขึ้นมาเป็น “รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานบริหาร” อีกต่างหาก

เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการสอบสวนคดีทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ ที่คนในระดับหัวแถวลอยตัวอยู่เหนือความผิด ทิ้งให้คนทำงานระดับหางแถวต้องรับชะตากรรมเพียงลำพัง

กลายเป็นบรรทัดฐานของไม้บรรทัดที่บิดเบี้ยวให้แก่สังคมไทยต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น