ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นไม่รับคำฟ้องคดี “พงศ์พิชาญ ธนาถิรพงศ์” โชเฟอร์แท็กซี่จอมประท้วง โวยไม่จ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมครบตามจำนวน ศาลชี้ยื่นหลังพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งไปรับเงินมาแล้ว 6.7 แสน จึงถือเป็นวันที่ได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ต้องยื่นฟ้องคดีนี้ภายในหนึ่งปี แต่กลับมายื่นเมื่อต้นปีเพื่อขอเงินเยียวยาให้ครบ 1.125 ล้าน
วันนี้ (11 พ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ในคดีที่นายพงศ์พิชาญ ธนาถิรพงศ์ ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ฟ้องปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 กรณีขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินเยียวยาผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองให้กับตนเอง โดยเหตุศาลปกครองสูงสุดไม่รับฟ้อง ระบุว่า เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่าภายหลังจากที่นายพงศ์พิชาญได้ยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 55 กรณีได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 53 และวันที่ 14 พ.ค. 53
ต่อมา คณะอนุกรรมการด้านการเยียวยาทางแพ่งและการฟื้นฟูด้วยวิธีการอื่นได้พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 8/2555 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 55 ได้มีมติยืนตามผลการพิจารณาของคณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมสำหรับผู้เสียหายกลุ่มที่ 1 ที่ว่านายพงศ์พิชาญไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 53 จำนวน 1,125,000 บาท จึงจ่ายเงินเยียวยาให้แก่นายพงศ์พิชาญเฉพาะกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 เท่านั้นโดยจ่ายให้จำนวน 677,116 บาท จากสิทธิที่พึงได้ 1,125,000 บาท
ทั้งนี้ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการโดยอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในฐานะประธานคณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมได้มีหนังสือลงวันที่ 11 มิ.ย. 55 ถึงนายพงศ์พิชาญ แจ้งให้ไปรับเงินเยียวยาตามมติคณะอนุกรรมการด้านการเยียวยาทางแพ่งและการฟื้นฟูด้วยวิธีการอื่นดังกล่าวในวันที่ 15 มิ.ย. 55 และนายพงศ์พิชาญ ก็ได้เดินทางไปรับเงินเยียวยาจำนวนดังกล่าวในวันเดียวกัน จึงถือเป็นวันที่นายพงศ์พิชาญได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ที่ตนได้รับเงินเยียวยาไม่ครบตามสิทธิ อีกทั้งยังมีการหักเงินที่ได้รับไปก่อนหน้านั้น นายพงศ์พิชาญ จึงต้องยื่นฟ้องคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันดังกล่าว คือ ภายในวันที่ 15 มิ.ย. 56
การที่นายพงศ์พิชาญนำคดีนี้มายื่นฟ้องยต่อศาลปกครองในวันที่ 13 ก.พ. 57 จึงเป็นการยื่นฟ้องคดีเมื่อพ้นระยะเวลาการฟ้องคดีตามนัยมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งการที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจรับคำฟ้องที่ยื่นเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ต่อเมื่อศาลเห็นว่าคดีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีความจำเป็น แต่คดีนี้นายพงศ์พิชาญ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินเยียวยาความเสียหายให้ครบตามสิทธิที่ควรจะได้ ผลแห่งคำพิพากษาจึงย่อมก่อประโยชน์แก่นายพงศ์พิชาญเท่านั้น มิได้ก่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนโดยส่วนรวม อีกทั้งยังมีปรากฎเหตุมีความจำเป็นอื่นใด ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้นายพงศ์พิชาญไม่สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลจึงไม่อาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาได้