นายกฯ ถกส่วนราชการ สั่งทุกกระทรวงเป็นกระบอกเสียงแจงผลงานรัฐ คดีเกาะเต่า ยึดผลตรวจดีเอ็นเอ โว “สกอตแลนด์ยาร์ด” พอใจการทำงาน ลั่นเยือนกัมพูชาคุยทุกมิติ ไม่หยิบข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร รับเตรียมถกแหล่งพลังงานทางทะเล ไม่รอปักปันเขตแดน มัวรอสิบชาติก็หาพลังงานทดแทนไม่ได้ แจงส่ง “ประวิตร” บินไปจีนแค่คุยมั่นคง ข้าว ยางพารา ปัดแอบเคลียร์ “ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์” ย้อนสื่ออย่ามาปลุกปั่น
วันนี้ (29 ต.ค.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าครั้งที่ 2/2557 ว่า การประชุมวันนี้รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับทุกกระทรวงที่เป็นข้าราชการ ว่าเราจะเดินหน้าประเทศอย่างไร โดยกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ และในครั้งหน้าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย หมุนเวียนกันไป สำหรับปัญหาในวันนี้ทางกระทรวงศึกษาฯได้อธิบายถึงสิ่งต่างๆ ตนไม่ได้หนักใจอะไร มันแก้ได้ไม่ยากนัก เพราะเรามีดีอยู่แล้ว เพียงแต่ด้านความต่อเนื่องเชื่อมโยง ในการสร้างเครือข่ายกับภาครัฐ ภาคเอกชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และผู้ประกอบการ ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของเรา คือ 1. สร้างคนให้เป็นมันสมองของประเทศ สร้างคนที่มีศักยภาพพอเพียง เป็นนักวิชาการ เป็นครูอาจารย์ 2. สร้างคนที่มีงาน มีอาชีพ เดินหน้าไปสู่ข้างหน้าได้ 3. ต้องเตรียมคนไว้สำหรับรองรับการแข่งขัน การเป็นประชาคมโลก จะมีการเคลื่อนย้ายทรัพยากรมนุษย์ไปทำงานที่อื่น เราต้องเตรียมการไว้ และ 4. เราต้องพัฒนาการในเรื่องกีฬา เรามีศักยภาพแต่ต้องสร้างให้มันมีมากขึ้นไป ให้มันต่อเนื่องเชื่อมโยง ทางภาคใต้คนชอบกีฬาตนก็บอกให้โรงเรียนเปิดแผนกกีฬาหรือใช้การปรับหลักสูตร บางคนเรียนไม่เข้มแข็ง แต่เล่นกีฬาเก่ง ก็ต้องผลิตคนให้ตรงกับเป้าหมาย ตอนนี้ได้ทำอยู่แล้ว นี่คือนโยบายที่ทำขับเคลื่อนในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ต้องสร้างความเข้าใจกับทุกกระทรวง ว่าเราต้องสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนให้ได้ว่า ในช่วงคสช. เราทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง ในช่วงเป็นรัฐบาล 3 เดือนทำอะไร ซึ่งเราไม่ค่อยได้พูดกัน จึงกลายเป็นว่าตนพูดคนเดียว แต่วันนี้ทุกกระทรวงพูดแทนตนแล้ว ได้ให้รายละเอียดแล้ว ไม่ว่ากระทรวงอะไรก็แล้วแต่ วันนี้ได้คุยกันหมด นอกจากนี้ ยังพูดถึงแนวทางที่จะมีทางจักรยาน หรือ ไบค์เลน ในทั่วประเทศ และหากเป็นไปได้ก็สามารถเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ดมาร่วมสังเกตการณ์ด้วยว่า เท่าที่ติดตามและรับฟังจากทุกฝ่าย ขณะนี้ผู้ที่มาเฝ้าสังเกตการณ์มีความพอใจในขั้นตอนการทำงานของไทย และยอมรับว่าเราทำได้ดี และดีกว่าที่เขาคิดมาก เขายังบอกด้วยว่าเป็นแนวทางการทำงานแบบเดียวกัน ตนก็ขอให้เราสบายใจได้ ส่วนผู้ต้องหาเราก็เปิดโอกาสให้ต่อสู้ ไม่ได้ขัดข้อง หากคิดว่าไม่ใช่ จะตรวจดีเอ็นเออีกครั้งเราก็ยอม ซึ่งปัญหาอยู่ที่ดีเอ็นเอ ถ้าใช่ก็คือใช่ เพราะดีเอ็นเอมันเปลี่ยนกันไม่ได้ หากคิดว่าตรวจดีเอ็นเอครั้งแรกไม่เป็นธรรมก็ตรวจอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ใครจะไปลงโทษ เวลานี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการอยู่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องของการฟ้องศาล การฝากขัง สำนวนต่างๆ เป็นเรื่องของการให้เวลาในการต่อสู้คดีเท่านั้นเอง จริงๆแล้วหลักฐานไม่กี่ชิ้นมันก็โอเคแล้ว แต่อย่าเพิ่งไปพูดเลยเรื่องกฎหมายตอนนี้ จะได้สบายใจกันบ้าง เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าคดีจะไม่พลิก นายกฯ กล่าวว่า จะพลิกได้ยังไง ถ้าคดีจะพลิก ก็พลิกที่ขบวนการต่อสู้ของเขา แต่ถ้าหลักฐานดีเอ็นเอมันใช่จะพลิกได้อย่างไร ต้องยันกันด้วยหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ เรื่องกระบวนการต่อสู้ทางคดีก็มีหลายอย่าง เขาก็รู้อยู่ ที่ผ่านมาเห็นบางคนสู้คดีหลุดก็มี แต่กรณีนี้ตนคิดว่ามันล็อคที่หลักฐานตัวนี้ ตนให้ความสำคัญตรงนี้ ส่วนดีเอ็นเอของลูกชายกำนันในเกาะเต่าที่จะมีการตรวจ ก็ต้องดูว่าตรวจแล้วตรงกับเหยื่อหรือไม่ ถ้าไม่ตรงก็ไม่ใช่
เมื่อถามว่า ถึงเวลานี้คิดว่าคดีจบลงหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่จบ ยังไม่สิ้นสุด จบก็ต้องมีการฟ้อง มีการลงโทษ เวลานี้ยังอยู่ในกระบวนการ แต่ในกระบวนการชั้นต้นตำรวจทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการพิสูจน์ ตรวจสอบ สังเกตการณ์กัน คนที่สังเกตการณ์เขาก็พอใจ แต่เขาพูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง เรื่องภายในประเทศเรา และเมื่อเขากลับไปเขาก็จะไปบอกคนในประเทศเขา ว่าการดำเนินการมีความถูกต้องอย่างไร และขั้นตอนต่อไปคือเรื่องอัยการ จะฟ้องหรือไม่อย่างไร ต้องมีการหาสำนวนเพิ่มเติม ต้องให้เวลาทั้งสองฝ่ายเคลียร์เพื่อความชัดเจนขึ้น และต่อไปก็เป็นเรื่องของการตัดสิน
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์การเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นการ ระหว่างวันที่ 30 - 31 ต.ค. ที่มีกระแสข่าวหารือผลประโยชน์ทางทะเลว่า การเดินทางครั้งนี้จะคุยทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องพลังงาน ซึ่งไม่อยากให้พูดว่าคุยกันถึงผลประโยชน์เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก เป็นการคุยกันถึงความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งด้านการค้า การส่งเสริมการลงทุน การท่องเที่ยว ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงปัญหาการลักลอบตัดไม้พยุงที่เกิดการปะทะกันอะไรต่างๆ ต้องเคลียร์กัน ตั้งคณะกรรมการพูดคุยให้ชัดเจนขึ้น ส่วนเรื่องพลังงานจะพูดถึงพื้นที่ทับซ้อน จะทำกันอย่างไร แต่ต้องคุยกันในรูปแบบของคณะกรรมการ แต่ที่ไปครั้งนี้เป็นการพูดคุยระดับผู้นำว่าเห็นชอบร่วมกันหรือไม่ ถ้าจะคุยกันต่อก็ไปคุยกัน
“ทั้งนี้ ถ้าเราเอาเส้นเขตแดนมาเป็นปัญหาทั้งหมดมันไม่ได้ การที่ยังไม่ปักปันเขตแดนไม่ได้หมายความว่า ใครยอมรับใคร แต่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างอ้างเป็นของตัวเอง นั้นแหละคือพื้นที่ทับซ้อนยังไม่ใช่พื้นที่ของใคร หากเรายังรอเรื่องปักปันเขตแดน ตรงนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม อีก 10 ชาติก็ทำอะไรไม่ได้ และถามว่าพลังงานจะมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการพูดคุยถึงข้อพิพาทปราสาทพระวิหารหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ เพราะเคยคุยกันมาหลายครั้งแล้วกับฮุนเซนกับ พล.อ.เตียบัญ เราจะไม่เอาประเด็นความขัดแย้งเดิมมาพูดคุยกันในตอนนี้ เพราะเวลานี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดของสองรัฐบาลในการที่จะพูดคุยกัน ทุกประเทศพูดแบบนี้หมด ตนพูดทั้งเมียนมาร์ และทุกประเทศว่าอย่าเอาเส้นเขตแดนเป็นเส้นแห่งความขัดแย้ง หรือก่อสงครามระหว่างกัน เราเป็นประเทศที่รายได้น้อยกันอยู่แล้ว ฉะนั้นวันนี้ต้องหาทางดูแลคนอย่างไร วันนี้ไม่ใช่ตนพูดว่าจะดูแลคนไทยอย่างไร แต่เราต้องพูดว่าจะดูแลเพื่อนบ้านอย่างไรด้วยตามแนวชายแดน เพราะมันอยู่ด้วยกัน นั้นคือภาระของเรา และเราก็เป็นประเทศที่ถือว่าค่อนข้างจะใหญ่ และมีความสมบูรณ์มากกว่ากัมพูชา ดังนั้นเราต้องยกระดับให้เท่าเทียมกัน และเข้มแข็งไปด้วยกัน เพื่อจะทำให้อาเซียนเข้มแข็ง จึงจะไปประชาคมโลกได้ เป็นการเน้นความร่วมมือเศรษฐกิจร่วมกัน
เมื่อถามว่าจะเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ได้สั่งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปจัดเพ็กเกตการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โบราณสถาน เชิงนิเวศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นว่าไทยมีแหล่งท่องเที่ยวอะไรบ้าง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว โดยพ่วงการท่องเที่ยวเพื่อนบ้านไปด้วย รวมถึงการไปเที่ยวเขาพระวิหารด้วย เพราะวันนี้ขึ้นได้ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดต้องคุยกัน
เมื่อถามว่า จะคุยถึงผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีเข้าไปอยู่ในกัมพูชาด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เคยพูดไปแล้ว ซึ่งทางฮุนเซนบอกว่ายินดีจะดูแลให้ ไม่มีปัญหา เรื่องอะไรที่ผ่านมาเป็นความขัดแย้งคุยกันอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ที่ผ่านมาก็มีการพระราชทานอภัยโทษ และกลับมาไทยแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ตนบอกไปว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่สนับสนุนซึ่งกันและกันกับคนที่มีปัญหา ทางนั้นก็รับปาก ขณะเดียวกันเราก็ต้องช่วยเขา เพราะมีคนของเขามาเคลื่อนไหวในประเทศเราเหมือนกัน เราต้องคบกันแบบนี้ ต้องคบระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลด้วยความจริงใจ และไว้วางใจต่อกัน ถ้าจะดีสเครดิตไปเรื่อยๆ ก็ทะเลาะกันอยู่ดี ประชาชนก็เดือดร้อน ส่วนเรื่องการค้ามนุษย์และแรงงานต่างด้าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคุยกันทุกวันอยู่แล้ว ทำมา 3 - 5 เดือนแล้ว และจะมีการลงนามร่วมกันเพื่อดูแลแรงงานทั้งระบบ จดทะเบียนกันบนโต๊ะ พิสูจน์สัญชาติ เราต้องนำร่องทั้งหมด แยกอาชีพให้ชัดเจน ถ้าเราไม่คุมต้นทางก็จะมาแบบสะเปะสะปะ กลายเป็นแหล่งผลประโยชน์อีก ซึ่งวันนี้ต้องดูแลสถานบริการที่เอาแรงงานมาโดยไม่ขึ้นทะเบียน ต้องปิดกิจการระยะหนึ่ง ตนได้สั่งไปแล้ว
เมื่อถามย้ำถึงกลุ่มการเมืองที่หลบหนีคดีไปอยู่ในกัมพูชา วันนี้ยังมีการเคลื่อนไหวอะไรอยู่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้มีข่าวกรองอยู่แล้ว แต่ตอนไปก็ต้องถามทั้งหมด และเราได้เคยขอร้องไปแล้วว่าอย่าให้มีการเคลื่อนไหวอย่างนี้ ซึ่งเขาก็รับปากเรา เมื่อถามว่าการข่าวได้มีการรายงานว่าเวลานี้ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่อีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังมีการเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลอะไรต่างๆ การข่าวเรามีทั้งโลก
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาทุกรัฐบาลมักถูกโฟกัสเรื่องความสัมพันธ์ไทย - กัมพูชา วันนี้จะโชว์ความสัมพันธ์อย่างไร นายกฯ กล่าวว่าไม่ต้องโชว์ ต้องดูว่าวันนี้สงบหรือไม่ การค้าการลงทุนมีเพิ่มหรือไม่ ปัญหาความขัดแย้งมีขึ้นมาใหม่หรือไม่ และวันนี้ผู้นำรอบบ้านบอกว่าวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่สุดในเรื่องความสัมพันธ์ โดยเฉพาะทางกัมพูชาเป็นคนพูดเองว่า ระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี เป็นโอกาสที่จะพูดจานำพาความก้าวหน้าต่อไป เพราะเขาไว้ใจการทำงานของเรา แต่เขาไม่ได้พูดมาจากการเมืองหรือไม่มาจากการเมือง ก็เลยเห็นใจกัน มันไม่ใช่ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ไปฝืนประชาคมโลก เราทำเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต เรื่องมั่นใจเขามั่นใจเราอยู่แล้ว เขาชื่นชม เขาพอใจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการเดินทางไปเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า เป็นการไปพูดคุยหลายเรื่อง เนื่องจากมีความคุ้นเคยกันกับนายทหารที่เคยรู้จักกันมา แต่ไม่ได้คุยในแบบที่ตนจะไป เป็นการไปคุยระดับรองลงมา เพื่อเป็นการไปนำร่องในฐานะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงก่อนที่ตนจะเดินททางไป จะได้พูดคุยน้อยลง ไม่ได้ไปโดยส่วนตัว รัฐบาลลมอบหมายไป มีทั้งตัวแทนกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์เดินทางไปด้วย เพราะจะมีการพูดคุยเรื่องข้าวและยางพาราจากไทย เพื่อให้จีนดูแลราคาผลิตผลให้ราคาสูงขึ้น เพราะในตลาดอาเซียนจีนค่อนข้างมีความแข็งแรง และจากการประเมินในเดือนก.ย.ตัวเลขการส่งออกนำเข้าจะดีขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องการท่องเที่ยวได้รับรายงานจากผู้ประกอบการว่า หลายโรงแรมถูกจองเต็ม และเครื่องการบินไทยก็ถูกจองเต็มทุกเที่ยวในช่วงไฮซีซัน
เมื่อถามว่า เป็นการเดินทางไปที่ไม่เกี่ยวกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พักผ่อนอยู่ที่จีนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “บ้า ไม่เกี่ยวจะไปคุยกับเขาทำไม” เมื่อถามต่อว่า เผื่อฟลุ๊กเจอกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่เจอ เพราะเจอไม่ได้อยู่แล้ว” เมื่อถามว่า ห้ามเจอกันหรืออย่างไร นายกฯ กล่าวว่า “คนเราไม่ต้องห้าม เขารู้ เขามีวิจารณญาณ ความเหมาะสม”
“เป็นผมๆ ก็ไม่เจอ ถึงจะพักโรงแรมเดียวกันผมก็ไม่ไปเจอ ผมเจอไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
และเมื่อถามว่า ถ้าเจอก็จะได้เคลียร์กันไปเลย พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า จะเคลียร์เรื่องอะไร จะเคลียร์เรื่องกฎหมายได้เหรอ พูดได้ยังไง กฎหมายก็คือกฎหมาย ซึ่งกฎหมายมีไว้บังคับใช้ทุกคนในประเทศนี้ ถ้าตนไปเคลียร์คนนั้น คนนี้ แล้วคนที่เหลือละ จะต้องไปยกโทษให้นักโทษอีกเท่าไร เมื่อถามว่า จะไปเจรจาเกลี้ยกล่อมว่าจะให้กลับมาสู้คดีหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เกลี้ยกล่อม ตนบอกแล้วทุกคนกลับมาได้หมด ใครจะกลับก็กลับ เมื่อกลับก็เข้ากระบวนการมีแค่นั้น หรือจะมีวิธีการอื่นตนไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องของตน เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
เมื่อถามว่า หากอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากสายตรงกับท่านเพื่อเจรจากลับมาสู้คดี จะคุยด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องมาสายตรงกับตน ก็ขึ้นเครื่องบินกลับมาเลย ไม่ต้องสายตรงก็กลับมาซิ มีเจ้าหน้าที่เขาดูแลอยู่แล้วจะได้สงบสุข อย่ามาปลุกปั่น
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ไปพูดคุยคดี “นายหน่อคำ” ราชายาเสพติด ที่ถูกศาลคุนหมิงสั่งประหารชีวิตพร้อมลูกสมุน จากร่วมกันปล้นฆ่าลูกเรือขนส่งสินค้าชาวจีน 13 ศพ ระหว่างอยู่ในแม่น้ำโขงในน่านน้ำประเทศไทย เขต อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อเดือน ต.ค. 54 ซึ่งในชั้นศาลนายหน่อคำ และพวก ซัดทอดถึงกลุ่มทหารไทยบางรายว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ตอบคำถามแต่ร้องว่า “โอ๊ย” แค่นั้น ก่อนขึ้นรถกลับทำเนียบรัฐบาล
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ มีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 30 - 31 ต.ค. 57 เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในระยะต่อไป รวมทั้ง ผลักดันความร่วมมือที่สำคัญและคั่งค้างให้มีความคืบหน้า ซึ่งปัจจุบัน ความสัมพันธ์ไทย - กัมพูชา อยู่ในระดับที่ดี โดยที่ผ่านมาทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะแยกความเห็นที่ไม่ตรงกันออกจากความสัมพันธ์ทั่วไป
ส่วนภารกิจสำคัญในการเยือนครั้งนี้ ได้แก่ เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา การเข้าร่วมพิธีต้อนรับและหารือข้อราชการกับ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ การพบหารือกับภาคธุรกิจไทยในกัมพูชาและมอบนโยบายแก่ทีมประเทศไทย และเยี่ยมชม AEC Business Support Center เป็นต้น โดยบันทึกความเข้าใจทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ 1. บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการขจัดการค้าเด็กและหญิงและการช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ 2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟ และ 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ การเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของครั้งนี้ อยู่ในกำหนดการเยือนประเทศอาเซียนอย่างเป็นทางการในโอกาสรับตำแหน่งใหม่ของนายกรัฐมนตรี และเป็นการเยือนประเทศที่สองในอาเซียนต่อจากสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 9 - 10 ต.ค. 57 เพื่อยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมความร่วมมือในอาเซียน