รายงานการเมือง
ปัญหาการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวไม่ลงในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี เป็นประเด็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ ต้องชี้แจงต่อสังคมว่า กว่าห้าเดือนที่ผ่านมามัวไปทำอะไรอยู่จึงไม่มีการสะสางเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาระทางการคลังของประเทศ
ที่สำคัญคือเป็นบทเรียนสำคัญที่คนไทยจะได้รับทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบซึ่งเกิดขึ้นจาก “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” แต่ที่ผ่านมาข้อมูลที่ถูกปกปิดก็ไม่เคยถูกนำมาเปิดเผย ตรงกันข้ามกลับมีข้อเท็จจริงปรากฏให้เกิดความสงสัยว่า
รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความจริงใจแก้ไขปัญหาขบวนการโคตรโกงนี้หรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กล่าวระหว่างการไปร่วมประชุมอาเซมที่ประเทศอิตาลีเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวกับนักธุรกิจไทยในการประชุมสภาธุรกิจเอเชีย - ยุโรป ไว้ว่า
“ไม่สามารถขายได้เพราะขาดทุน หากขาย 20 ล้านตัน จะขาดทุน 4-7 แสนล้านบาท และถ้าปล่อยไปอีก 3 ปี อาจทำให้ประเทศล้มละลายได้ แต่รัฐบาลในอดีตก็ไม่สามารถเลิกโครงการนี้ จึงต้องช่วยเหลือต่อไป”
ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กำลังปกปิดความผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยอ้างว่าหากทำให้เห็นผลขาดทุนที่ชัดเจนจากโครงการนี้ก็จะทำให้ประเทศไทยล้มละลายอย่างนั้นหรือ วิธีคิดเช่นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่
ถ้าไม่ยอมขายข้าวเพราะกลัวว่าจะขาดทุน แล้วการเก็บข้าวไว้ให้เสื่อมสภาพ เน่าเสียไปเรื่อยๆ ส่งผลให้ราคาข้าวในสต๊อคตกต่ำลง ย่อมไม่ช่วยให้ภาวะขาดทุนลดลง แต่จะช่วยยืดเวลาการประกาศถึงผลการขาดทุนซึ่งมีส่วนสำคัญยิ่งต่อคดีของยิ่งลักษณ์ที่ ป.ป.ช. กล่าวหาว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ยับยั้งความเสียหายที่เกิดจากโครงการจำนำข้าว เพราะเมื่อการปิดบัญชีทำไม่ได้ก็เข้าทางที่ยิ่งลักษณ์ท่องมาตลอดว่า ยังสรุปตัวเลขขาดทุนไม่ได้ ดังนั้นการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.จึงเป็นการกล่าวหาในขณะที่มีข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
ล่าสุด รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ออกมายอมรับว่า ปิดบัญชีไม่ลงเพราะไม่ได้รับข้อมูลจาก อ.ต.ก. และ อคส. ทำให้ไม่สามารถสรุปตัวเลขตามที่เคยระบุว่าจะดำเนินการภายในเดือนตุลาคมได้ โดยขอยืดเวลาไปเป็นเดือนพฤศจิกายนแทน
ก็ยิ่งประจานถึงความไม่ชอบมาพากลว่า ใครกำลังใช้อำนาจที่มีช่วยปกปิดความผิดให้คนที่สร้างความเสียหายต่อชาติหรือไม่
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลมีอำนาจล้นฟ้าแต่กลับไม่สามารถทำให้ อ.ต.ก. กับ อคส. ส่งข้อมูลให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวเพื่อสรุปตัวเลขการใช้จ่ายและผลขาดทุนได้ จึงไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้นอกจากผู้มีอำนาจในขณะนี้รู้เห็นเป็นใจกับการยื้อข้อมูลของ อ.ต.ก. และ อคส. จนทำให้การสรุปบัญชีโครงการต้องล่าช้าออกไป
แม้กระทั่งผลการตรวจสอบโกดังข้าวที่ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ยังไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะทั้งที่เคยระบุว่าจะเผยแพร่ข้อมูลทั้งหมดได้ตั้งแต่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ก่อนจะเลื่อนมาเป็น 15 ตุลาคม แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
หม่อมหลวง ปนัดดา ระบุว่า ส่งผลสรุปรายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยขอให้รอการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการข้าว ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานก่อน
ในขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดูจะไม่อนาทรร้อนใจใดๆ กับกรณีที่ อ.ต.ก. และ อคส. ไม่ยอมส่งข้อมูล โดยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้แต่เพียงว่า
“เดี๋ยวเขาคงไล่กันขึ้นมาเอง เพราะเป็นหน่วยงานในสังกัด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเคลียร์บัญชีก่อนที่จะเข้ามา บางทีไม่ตรงกันอยู่บ้าง เนื่องจากมีเรื่องของการทำสัญญาซื้อขายและการเคลียร์บัญชีที่มีอยู่ตามคลังต่างๆ โดยรับยอดมาตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.57 จำนวน 18 ล้านตัน เพื่อนำมาตรวจสอบว่ามีมาตรฐานหรือไม่ เสื่อมราคาหรือไม่ ข้าวหายหรือไม่ ซึ่งภายในเดือน ต.ค. นี้ คณะกรรมการระบายข้าวจะสรุปได้ แต่ไม่ใช่คณะกรรมการที่จะไปจับใครติดคุก คนละเรื่อง”
คำกล่าวเช่นนี้ถือว่าเป็นความตื้นเขินอย่างยิ่งของคนเป็นผู้นำที่อ้างว่าผลสรุปทางบัญชีจะมีผลเฉพาะเรื่องการระบายข้าวไม่เกี่ยวกับการจับใครติดคุก ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเรื่องนี้กำลังเป็นคดีความที่จะทำให้คนชั่วเข้าไปรับกรรมในคุกแต่การดำเนินคดียังค้างเติ่งอยู่ ฟ้องร้องไม่ได้ เนื่องจากมีการยื้อเวลาจากฝ่ายอัยการให้ข้อมูลการปิดบัญชีจากกระทรวงการคลังก่อน
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ มีเจตนาจะเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ก็ควรเริ่มต้นจากโครงการจำนำข้าวเพราะความผิดชัดแจ้ง ความเสียหายชัดเจน แต่ 5 เดือนของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับทำให้คนคิดว่า ความผิดไม่ชัดแจ้งและความเสียหายก็ยังหาความชัดเจนไม่ได้
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังคิดอะไรอยู่ ขอให้ตระหนักไว้ว่า หากยังเดินหน้าบริหารประเทศสวนทางกับคำพูดก็จะถูกประชาชนทวงคืนความไว้วางใจและความศรัทธาในเวลาที่รวดเร็วเกินกว่าจะคาดถึง