สะเก็ดไฟ
เสียความรู้สึกกับอาการปอดแหกของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 220 คน ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อุตส่าห์ประคบประหงมกันทำคลอดกันมาตั้งใจว่า จะให้มาช่วยกันแก้ไขวิกฤตชาติในสภาวะที่ประชาชนเสื่อมศรัทธากับการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.และ ส.ว.ที่ผ่านมา ซึ่งถูกครอบงำด้วยเงินตราและอำนาจของพรรคการเมือง
แต่กลายเป็นว่า ในยุคแห่งการปฏิรูป สนช.อันเป็นแม่น้ำสายหลักสำคัญของประเทศยุคนี้ ดูเหมือนยังย่ำเท้าอยู่กับที่ หนักๆ ไปเกือบจะถอยหลังลงคลอง หลังจากยื้อยุดฉุดกระชากสำนวนถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาออกไป
ทั้งที่ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอะไรเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่ถกเถียงกันด้วยตัวบทกฎหมาย เรื่องนี้ยังง่ายเสียกว่าเป็นหลายเท่า ยิ่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 กำหนดไว้ตัวเท่าหลังคาบ้านว่าให้ สนช.ทำหน้าที่ ส.ส.และ ส.ว. ดังนั้น เรื่องอำนาจไม่รู้ลูกอีช่างสงสัยทำไมยังชอบทำตัวเป็นศรีธนญชัยกันอีก หรือต่อให้ไม่ใช่นักกฎหมาย อ่านกฎหมายไม่รู้ ดูกฎหมายไม่เป็น ก็แหกตาไปอ่านมาตรา 5 ดู กรณีแบบนี้สนช.มีอำนาจวินิจฉัย ซึ่งที่ตั้งใจให้กลายเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก เพราะมีลับลมคมในอะไรกับใครหรือไม่ รู้อยู่แก่ใจตนเอง
เรื่องความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 2550 แม้กฎมายจะถูกฉีกทิ้งไปแล้ว แต่ในเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลไปก่อนตั้งแต่ยังมีกติกาประเทศยังบังคับใช้อยู่ ฉะนั้น ความผิดสำเร็จและมีการตัดสินกันไปแล้วว่าส่อว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จะมาตะแบงกันให้เปลืองน้ำลายทำไม กลับกันหากคดียังไม่ถึงที่สุด ยังไม่มีการชี้มูลฟันฉับกันว่าไปอย่าง จะมาดีเบตกันให้เป็นให้ตายว่าไปเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณีนี้ก็เหมือนกับการฆ่าคนตาย แล้วอยู่ดีๆ มาบอกกฎหมายไม่มีแล้วจึงไม่ติดคุก ไม่ต้องรับโทษ โลกมันจะร้อนกันไปใหญ่
หรือจะมาอ้างว่าชั่วโมงนี้อยู่ในโหมดปรองดอง ทุกอย่างจึงต้องยอมกันไปเพื่อชาติ ขืนลงมือไล่บี้กันตอนนี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์คุกรุ่นมิอันอดเดินหน้าปฏิรูป แต่ก็ต้องคิดถึงหัวอกอีกฝั่งว่าการกระทำเพื่อหยวนๆ พบกันคนละครึ่งทาง โดยไม่ได้มองความถูกต้อง ผิดชอบชั่วดี เป็นตัวตั้ง อาจจะทำให้กลายเป็นความไม่พอใจของแนวร่วมที่อาจปันใจกลายเป็นศัตรูในอนาคตอันใกล้
ปรองดองกับคนเลว มันต่างกับการปรองดองกับคนที่เคยทะเลาะกันมา ผู้มีอำนาจต้องเข้าใจจุดนี้
ประเภทปรองดอง หย่าศึกแบบวิน-วิน ให้เอาบทเรียนยุค “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มาเป็นบทเรียนว่าสุดท้ายมันยิ่งเป็นการเสริมพลังให้กับคนร้ายกลับมาครองเมือง นำชาติกลับเข้าไปสู่จุดเดิมที่เคยพยายามจะหนีมา ดังนั้น คิดจะตีงูต้องตีให้ตาย ถ้ากลัวมันเจ็บ จุดจบก็จะเป็นเราเองที่จะโดนมันฉกตาย อย่าอยู่บนความกลัว
วันนี้มีอำนาจต้องทำให้เบ็ดเสร็จ เลิกระบบเกรงใจกันเสียที
เอาถูก-ผิดเป็นตัวตั้ง จะไปกลัวทำไม!