ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าหลายคนคาดไม่ถึงว่าทรัพย์สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 195 คน ที่ถูกเปิดเผยออกมาโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหลายคนที่ทำให้ตกตะลึงจากจำนวนทรัพย์สินทั้งที่เป็นเงินสดในบัญชีของตัวเอง และคู่สมรส สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ว่าทำไมมันมากมายกันขนาดนี้ หลายคนอาจยกข้อสงสัยสำหรับนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพย์สินรวมกันหลายพันล้าน หรือหลักหลายร้อยล้าน
แต่สำหรับพวกที่เป็นข้าราชการ หรืออดีตข้าราชการบางคนมีทรัพย์สินเกิน 100 ล้านบาท บางคนมีร่วม 200 ล้านบาท ทั้งที่ตลอดชีวิตรับราชการกินเงินเดือนแค่หลักหมื่นเท่านั้น แต่ดันมีทรัพย์สินงอกเงยขึ้นมาได้แบบพิลึกพิลั่น
แน่นอนว่าบรรดา สนช. ที่มีทรัพย์สินจำนวนมากดังกล่าวย่อมมีทั้งในส่วนของข้าราชการทหารและตำรวจ ทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่าคนพวกนี้ไปรวยมาจากไหนนักหนา ทั้งที่ตามประวัติแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย หากจะรับมรดกก็ยังมองไม่เห็น ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นทำธุรกิจอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว หรือมีผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ
จะด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่า กลัวว่าเมื่อถูกบังคับให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินออกมาแล้วทำให้เกิดปัญหาตามมา นั่นคือ ไม่อยากให้ชาวบ้านรู้ว่า “รวย” กลัวการขุดคุ้ยหรือเปล่าทำให้คนพวกนี้พยายามขัดขวางไม่ยอมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตรวจสอบทรัพย์สิน ดังจะเห็นได้จากกรณีที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 28 คน ไปร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ออกคำสั่งคุ้มครอง ความหมายก็คือไม่ต้องการเปิดเผยทรัพย์สินให้คนอื่นทราบนั่นแหละอ้างว่าตัวเองไม่ใช่นักการเมือง ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจบังคับในเรื่องดังกล่าว แต่โชคดีที่ศาลยกคำร้อง จึงต้องยื่นและมีการเปิดเผยทรัพย์สินให้สาธารณชนทราบในเวลาต่อมา
และก็ตามคาดในบรรดา 28 สนช. ดังกล่าว โดยเฉพาะที่เป็นอดีตข้าราชการ และยังรับราชการอยู่มีทรัพย์สินมากมาย บางรายที่เป็นข้าราชการตำรวจยศแค่พลตำรวจโท ร่ำรวยร่วม 200 ล้านบาท บางคนก็ 100 ล้านบาท หลักสิบล้านลดหลั่นกันลงมา เรียกว่ารวยกันอู้ฟู่
ทำให้เกิดคำถามดังๆ ตามมาทันทีว่าคนพวกนี้ “รวยมาจากไหน” เพราะเมื่อบวกลบคูณหารแล้วสำหรับข้าราชการไม่ว่าตำแหน่งสูงระดับไหนก็ไม่มีทางมีทรัพย์สินได้มากมายขนาดนี้ มีทางเดียวก็ต้องทำธุรกิจ หรือไม่ก็พ่อแม่ต้องร่ำรวยแล้วยกมรดกให้ หรืออีกทางหนึ่งก็คือ “สงสัยว่าโกง”
ด้วยคำถามและข้อสงสัยดังกล่าว ทำให้ล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขยับที่จะตรวจสอบทรัพย์สินในเชิงลึกสำหรับบรรดาข้าราชการและอดีตข้าราชการดังกล่าวที่อยู่ในข่ายที่สังคมสงสัยแล้ว
จากการให้สัมภาษณ์ของ เลขาธิการ ป.ป.ช. สรรเสริญ พลเจียก ที่เปิดเผยว่า ป.ป.ช. มีมติเป็นหลักการที่จะตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของบรรดาข้าราชการและอดีตข้าราชการที่มีทรัพย์สินตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เหตุผลเพื่อความโปร่งใส และเพื่อลดความสงสัยของสังคม หากสามารถชี้แจงที่มาได้ชัดเจนก็จะเป็นผลดีตามมา พร้อมทั้งเรียกร้องว่าหากประชาชนมีข้อมูลความผิดปกติก็สามารถยื่นหลักฐาน ข้อมูลร้องมาที่ ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบได้
ขณะที่ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ วรวิทย์ สุขบุญ ขยายความเพิ่มเติมว่า การสอบสวนจะแบ่งออกเป็นสามระดับ คือสอบระดับปกติ ตรวจสอบยืนยันข้อมูล และสอบสวนเชิงลึก
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นย่อมต้องได้รับการสนับสนุนจากสังคม เพราะอยากรู้ความจริงถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สินของพวกเขาว่าได้มาอย่างไร ร่ำรวยมาจากไหน ทุกอย่างจะได้เคลียร์ ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าชาวบ้านไม่น้อยรู้สึกไม่พอใจกับอาการอิดออดของบรรดา สนช. บางกลุ่มที่ไม่เต็มใจเปิดเผยทรัพย์สินขณะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำหน้าที่เป็นสมาชิกรัฐสภา มีหน้าที่ออกกฎหมายมาควบคุมและบริหารบ้านเมือง เสมือนไม่มีสปิริต ซึ่งเมื่อเปิดเผยออกมาคนพวกนี้ก็มีทรัพย์สินมากจนน่าสงสัยเสียด้วย เหมือนกับว่า “ความแตก”
ขณะเดียวกัน เรากำลังเข้าสู่วาาะการปฏิรูปบ้านเมืองอย่างขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศชัดแล้วว่าไม่ทุจริต และจะป้องกันการทุจริต จึงจำเป็นต้องไฟเขียวให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสในทุกระดับเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี และสำหรับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ต้องมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปในวันหน้ายิ่งต้องเป็นนักปฏิรูปให้เกิดความศรัทธาเสียก่อน
ขณะเดียวกัน เชื่อว่า ผลจากกรณีดังกล่าวย่อมต้องเป็นกรณีศึกษาในการปฏิรูปกฎหมายในวันหน้าที่จะต้องบังคับให้ข้าราชการในระดับใดบ้างต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินกันอย่างเข้มงวดมากขึ้น รวมไปถึงสามารถเข้าไปตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาอย่างผิดปกติได้อีกด้วย ไม่ใช่เพียงแค่เปิดเผยให้ทราบแล้วจบกันเท่านั้น
เพราะในความเป็นจริงข้าราชการบางตำแหน่งก็เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ไม่ต่างจากนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจเช่นเดียวกัน !!