ผู้บัญชาการทหารบก ประชุมหน่วยขึ้นตรงทัพบกวาระพิเศษครั้งแรกหลังได้รับตำแหน่ง มอบนโยบายหลัก 12 ข้อ ด้าน “ฉัตรชัย” นำทีมมอบดอกไม้ยินดี “อุดมเดช” สั่งทยอยถวายพระพรในหลวง เผยคติพจน์ทำงาน “ร่วมใจ ริเริ่ม จริงจัง เพื่อชาติ และราชบัลลังก์” สนองนโยบายรัฐและทำงานเร่งด่วน หวังเห็นผลดับไฟใต้ใน 1 ปี แย้มปรับลดกำลังพลภาคอื่น กำชับทหารควบคุมสถานการณ์ไม่ปล่อยสิ่งผิดกฏหมาย รอถกบิ๊กเหล่าทัพเลิกอัยการศึกหรือไม่ ขอใจเย็นๆ
วันนี้ (6 ต.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) วาระพิเศษ ภายหลังจากที่ พล.อ.อุดมเดช ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. โดยมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหารบก และ พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพบก อีกทั้งแม่ทัพภาคต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ได้แก่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.ธวัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 และ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 1 รวมถึงผู้บังคับการกองพล ผู้บังคับการกรม และผู้บังคับกองพันที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงด้วย
สำหรับการประชุม นขต.ทบ.ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ พล.อ.อุดมเดช ในฐานะ ผบ.ทบ. เพื่อมอบนโยบายหลัก 12 ข้อ ประกอบด้วย 1. จัดสวัสดิการกำลังพล 2. ฝึกศึกษาด้านการทหาร 3. การพัฒนาจัดระบบกองทัพบก 4. ด้านการข่าว 5. อุปกรณ์ยุทโธปกรณ์ 6. การป้องกันชายแดน 7. การรักษาความสงบและความมั่นคงภายใน 8. การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ 9. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน 10. การปกป้องสถาบัน 11. การขยายผลโครงการตามพระราชดำริ 12. การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมทั้งเพื่อให้กองทัพมีประสิทธิภาพ และพัฒนากองทัพอย่างยั่งยืนนำไปสู่ผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามนโยบายหลักคือภารกิจการปกป้องอธิปไตย ดูแลชายแดนให้สงบสุขภายใต้ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการพิทักษ์เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งเผยแพร่น้อมนำพระราชดำริมาเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต และปฏิบัติตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลให้เกิดความมั่นคง
ทั้งนี้ ก่อนการประชุม พล.อ.ฉัตรชัย เป็นตัวแทนผู้บังคับบัญชาระดับสูงและผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกมอบดอกไม้ เพื่อแสดงความยินดีแก่ พล.อ.อุดมเดช ที่มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ด้วย โดย พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า กองทัพบกพร้อมทำงานสนองตอบนโยบาย ผบ.ทบ.เพื่อให้กองทัพบกมีความก้าวหน้า และเพื่อดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสน์และประชาชน
ทั้งนี้ พล.อ.อุดมเดชกล่าวตอนหนึ่งก่อนการประชุมว่า ขอให้กำลังพลทุกคนใช้โอกาสหลังการประชุมเสร็จทยอยเดินทางไปถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นการแสดงออกต่อความจงรักภักดี
ต่อมาเวลา 12.30 น. พล.อ.อุดมเดชให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการพบปะหารือกับเพื่อชี้แจงนโยบาย และเน้นย้ำในฐานะที่ตนเข้ามารับหน้าที่เป็น ผบ.ทบ. โดยมีคติพจน์การทำงานคือ “ร่วมใจ ริเริ่ม จริงจัง เพื่อชาติ และราชบัลลังก์” ฉะนั้นกองทัพบกต้องปฏิบัติงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ในปี 2558 เป็นปีแห่งการปฏิบัติงานของกองทัพบกที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และเป็นรูปธรรมทุกด้าน โดยสอดรับกับแนวทางการปฏิบัติงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อดีต ผบ.ทบ. ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ลักษณะงานของตนจะมี 2 แบบ คือ 1. การตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและ คสช. และตอบสนองนโยบายของผู้บังคับบัญชาในแต่ละลำดับชั้น รวมถึงการปฏิบัติตามแผนงานต่างๆ ของกองทัพบก 2. การกำหนดงานเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติ เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 12 ประการ
พล.อ.อุดมเดชกล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนเองมุ่งหวังและคาดจะให้เห็นผล 1 ปี คือเรื่องการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิบัติงานจะสานต่อนโยบายเดิม ทั้งนี้ตนได้เน้นย้ำกับผู้บังคับหน่วยในพื้นที่จะต้องดูแลสถานการณ์ให้ได้ และสถานการณ์ต้องดีขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานราชการที่จะทำให้เกิดความชัดเจน และกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองให้ได้ อีกทั้งถ้าสถานการณ์ในภาคใต้ดีขึ้น อาจจะมีการปรับลดกำลังพลจากกองทัพภาคอื่นๆ โดยจะให้กองทัพภาคที่ 4 สามารถควบคุมการปฏิบัติงานเองได้ อย่างไรก็ตามทางนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่าภายใน 1 ปี ต้องเห็นผลชัดเจนซึ่งตนจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดความพึงพอใจ โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่า 1 ปี ต้องควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ให้ได้ และต้องลดสถิติการก่อเหตุด้านความมั่นคง ทั้งสองอย่างต้องทำให้ได้ 50% ถึงจะเรียกว่าสัมฤทธิผลเป็นรูปธรรม
พล.อ.อุดมเดชยังกล่าวถึงการรักษาความสงบภายในประเทศว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ประชาชนทุกภาคส่วนต้องช่วยกันในการดูแลสถานการณ์ให้ดีขึ้น และสิ่งที่สำคัญยิ่ง คือความร่วมมือจากผู้ที่มีความเห็นต่าง ต้องร่วมมือกัน เพื่อนำพาสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามกรอบของรัฐบาลได้วางไว้ คือ การปฏิรูป ด้วยการให้ผู้ที่เห็นต่างเสนอความเห็นว่าจะปฏิรูปประเทศอย่างไร ทั้งนี้ตนย้ำว่าสิ่งใดที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้อง ตนได้สั่งการกำชับให้เจ้าหน้าที่กองทัพต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ และจะไม่ปล่อยปะละเลยในเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นตนขอฝากไปยังกลุ่มผู้ที่เห็นต่างที่ยังไม่เข้าในรัฐบาล ขอให้โอกาสและให้ทำความเข้าใจ แล้วเข้ามาพูดกัน ไม่ใช่ไปเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดมวลชนที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย
“สิ่งหนึ่งที่ได้เน้นย้ำคือ สถาบันกษัตริย์ อันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจทหารทุกคน ซึ่งจะต้องเทิดทูนและปกป้อง ไม่ให้ผู้ไม่หวังดี มาทำให้เกิดความเสียหาย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศไทย ที่ดูแลประชาชน และแผ่นดินไทยมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น เราเป็นทหารต้องมีหน้าที่ดูแลโดยตรง ต้องดูแลปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้” พล.อ.อุดมเดชกล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการยกเลิกกฎอัยการศึก หรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ตนยังไม่ขอพูดถึงเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องหารือกัน ส่วนการประชุม ครม.ร่วมกับ คสช.ที่สโมสรทหารบกวิภาวดีในวันที่ 7 ตุลาคม อาจจะเป็นการพูดถึงการติดตามงานด้านบริหารของกลุ่มงานต่างๆที่แบ่งไว้แล้วว่าดำเนินงานอย่างไรบ้าง และในส่วนของ คสช.ที่ติดตามงานฝ่ายบริหารจะสามารถช่วยส่งเสริมอะไรได้บ้าง ถือเป็นการให้คำแนะนำในฐานะฝ่ายบริหาร และ คสช.จะมีแนวทางเดียวกันเพื่อทำให้ประเทศชาติเจริญ ทั้งนี้ ยอมรับว่าในวันที่ 7 ตุลาคมจะมีการสรุปสถานการณ์ภายในประเทศว่ามีความเรียบร้อยเพียงใด ถ้าเรียบร้อยดีก็อาจจะมีการปรับลดกฎอัยการศึก เพื่อให้สังคมเกิดความสบายใจยิ่งขึ้น
“แต่ในขณะนี้ยังต้องคงประกาศใช้กฎอัยการศึกไว้อยู่ และจะยกเลิกเมื่อไหร่อย่างไร เรื่องดังกล่าวขอให้อย่าพึ่งถาม ตนยังไม่อยากพูดถึงรายละเอียด เนื่องจากกำลังอยู่ระหว่างการติดตามและประเมินผล อีกทั้งการจะพูดอะไรออกไป ควรจะมีความชัดเจนมาจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฉะนั้นขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ผู้ใหญ่ทุกคนมีความเข้าใจดี แต่ความจำเป็นบางอย่างก็มีเหตุมีผลที่ยังต้องคงกฎอัยการศึกไว้ หากจะมีการปรับลด หรือยกเลิกต้องมีความมั่นใจว่าเราสามารถดูแลสถานการณ์ต่างๆ ได้เรียบร้อย เพราะบางสิ่งบางอย่างหากไม่มีเครื่องมือมาช่วยเหลืออย่างกฎหมาย ก็อาจทำให้สถานการณ์ไม่เรียบร้อยก็ได้” พล.อ.อุดมเดชกล่าว