ผ่าประเด็นร้อน
ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการกันไปแล้วสำหรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือที่เรียกกันว่า รัฐบาล “ประยุทธ์ 1” ประกอบด้วย รัฐมนตรี 32 คน 34 ตำแหน่ง โดยไม่รวมนายกรัฐมนตรี ขั้นตอนหลังจากนี้เหลือเพียงเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติ จึงจะปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไป คาดว่าคงไม่เกินต้นสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ดี ระหว่างที่รอก็ขอถือโอกาสในการเพ่งมองศูนย์อำนาจและการเชื่อมโยงอำนาจในลักษณะ “ไขว้กันไปมา” อย่างลงตัว ในลักษณะการ “คาน” และ “ประสาน” กันในคราวเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อโอกาสเปิดทำให้การกระจายอำนาจ กระจายตำแหน่งออกไปได้อย่างทั่วถึง ไม่อึดอัด “เบียดเสียด” กันเช่นทุกปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่าหลังการกำเนิดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ศูนย์กลางอำนาจใหม่ขึ้นมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นมา นอกจากตัวองค์กรแล้ว ยังมีตัวบุคคลที่ต้องแต่งตั้งเข้ามาบริหารสั่งการ แม้ว่าผู้บังคับบัญชาสูงสุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่ก็ต้องมีองคาพยพ มีองค์ประกอบแห่งอำนาจ ซึ่งก็ต้องมาจากผู้นำกองทัพที่มีสายงานตามลำดับลงมา ขณะเดียวกัน ใน “สถานการณ์พิเศษ” ก็ต้องเรียกหาคนใกล้ชิด รวมไปถึงคนที่ไว้ใจและเคารพนับถือดังที่มีการแต่งตั้ง “เพื่อนพ้องน้องพี่” ทั้งที่เกษียณอายุราชการออกไปแล้วกลับมาช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำดังที่เห็นกันอยู่ในแบบ “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” นั่นแหละ
ต่อมาหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ก็ยังให้อำนาจสูงสุดกับ คสช. และหัวหน้า คสช. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะในมาตรา 44 ที่ใช้อำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการได้โดยตรง รวมไปถึงการใช้อำนาจโดยตรงและโดยอ้อมผ่านทางสภานิติบัญญัติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
ที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลเพื่อความเป็นเอกภาพในการบริหารบ้านเมือง และนำไปสู่เป้าหมายการ “ปฏิรูปทุกภาคส่วน” แบบมีผลสัมฤทธิ์ในช่วงเวลาจำกัดระยะเวลาปีเศษนับจากนี้ เสียงสนับสุนนดังกล่าวผ่านทางผลสำรวจจากสำนักต่างๆ ออกมาตรงกันและมีเสียงค่อนข้างท่วมท้น
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ในที่สุด ถือว่าเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดในยุคนี้และในรอบหลายปี เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร
สำหรับเหตุผลที่ต้องการเห็น พล.อ.ประยุทธ์ ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ก็เพื่อป้องกันความล้มเหลวไม่เป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าวนั่นเอง ป้องกันความสูญเปล่าซ้ำรอยการรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ที่พอประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และมีนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นในในคราวนั้นทำให้ตำแหน่งหัวหน้า คมช. ของ พล.อ.สนธิ ก็หมดอำนาจ ขาลอย ไม่สามารถใช้อำนาจผ่านทางรัฐบาลได้เลย ให้การรัฐประหารเกิดความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังสร้างปัญหาก่อวิกฤตให้กับบ้านเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่ก่อการรัฐประหารในยุคนั้นก็เสียผู้เสียคนมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปัจจุบัน เมื่อเทียบจากระยะเวลานับตั้งแต่การเข้ายึดอำนาจต่อเนื่องมาจนถึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 และมีนายกรัฐมนตรี มีรัฐบาล เทียบกันในเชิงอำนาจ ฝ่ายหลังมีการบริหารจัดการที่ดีกว่า มีการเตรียมการเอาไว้อย่างรอบคอบรัดกุม นั่นคือการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จไม่อ้อมค้อม ไม่หลอกตัวเองว่า “เป็นประชาธิปไตย” เหมือนเช่น คมช. ปี 49 แต่ในปัจจุบันเป็นการรวบอำนาจเอาไว้ในมือทั้งหมด ตรงกันข้ามยังมีการ “กระชับอำนาจ” อยู่ตลอดเวลา
ทั้งการผ่องถ่ายอำนาจให้กับทายาทในรุ่นหลังก็ทำได้อย่างราบรื่นและกระจายออกไปอย่างทั่วถึง ทั้งในกองทัพ ทั้งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และล่าสุดได้กระจายออกไปในตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญๆ ที่ส่งผลต่ออนาคตได้โดยตรง
หากพิจารณจากตำแหน่งหลักที่ส่งผลต่ออนาคตและความมั่นคงที่เป็น “เมนหลัก” ก็ต้องเริ่มจากใน “กองทัพบก” ที่ตามโผกำลังผ่องถ่ายอำนาจให้กับ พล.อ.อุดมเดช สูตบุตร จากรองผู้บัญชาการทหารบก สืบแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน ซึ่งรับรู้กันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนี่แหละที่ “ทรงอำนาจหลัก” อย่างแท้จริง และตามเส้นทาง พล.อ.อุดมเดช ก็ถือว่าเดินมาตามเส้นทาง “บูรพาพยัคฆ์” ตามรอยพี่ๆ แทบจะไม่แตกต่างกัน ขณะเดียวกัน ในบทบาทหนึ่งที่เชื่อมโยงในด้านความมั่นคงก็ข้ามไปนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาล ประยุทธ์ 1 อีกด้วย นี่ยังไม่นับตำแหน่งเลขาธิการ คสช. ไปแล้ว ดังนั้น หากพิจารณาในคสามเป็นจริงบุคคลที่มีอำนาจที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง ก็คือ พล.อ.อุดมเดช นี่แหละ
แต่ความหมายก็คือการประกันความเสี่ยงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลุกออกจากเก้าอี้สำคัญในกองทัพตามจังหวะเวลา รวมไปถึงการกระจายมอบหมายความรับผิดชอบให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ที่สนับสนุนเกื้อหนุนกันมาได้อย่างลงตัว ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญในรัฐบาล และในกองทัพ โดยเฉพาะในกองทัพบกที่เชื่อมโยงไปถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมในภายหน้า ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในปีต่อไป
ที่สำคัญ เป็นการวาง “สมดุล” ทางอำนาจระหว่างนายทหารสามคนที่มีบทบาทสำคัญได้อย่างน่าจับตา ก็คือ พล.อ.อุดมเดช พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ที่ตามโผจะโยกไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก จะขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ในรายละเอียดแม้ว่า พล.อ.ไพบูลย์ จะต้องผิดหวังในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่การได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มีความสำคัญ รวมทั้งได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของ คสช. ถือว่าไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับ พล.อ.ฉัตรชัย ที่ไปนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และยังนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 58 ถือว่าไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันนัก เพราะทุกอย่างจบลงในปีหน้าเกษียณอายุพร้อมกัน
เมื่อวกกลับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมทั้งจัดวางตำแหน่งในกองทัพเอาไว้อย่างสมดุล ทั้งรวบอำนาจและกระจายอำนาจในบรรดาคนไว้ใจได้อย่างทั่วถึง อีกด้านหนึ่งเป็นการตอบโจทย์ “การยึดอำนาจแบบไม่เสียของ” แต่ขณะเดียวกัน หากวันหน้าเกิดความล้มเหลวขึ้นมาก็ต้องรับไปเต็มๆ จะโบ้ยให้คนอื่นไม่ได้เป็นอันขาด!!