“สนธิ” ออกจากเรือนจำคลองเปรมแล้ว หลังศาลฎีกาอนุญาตให้ประกันตัว เผยรู้สึกดีใจได้กลับบ้าน ยันเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ดูแลดี ชี้ปัญหาชาติบ้านเมืองไม่ได้แก้ที่คุก แต่แก้ที่รัฐบาลและตำรวจ ถ้าไม่จับเหวี่ยงแห นักโทษคงไม่ล้นคุก ซ้ำเจอทนายความจากศาลบีบให้สารภาพเพื่อหวังค่าจ้าง เผยราชทัณฑ์ถูกละเลยมหาศาล จนท. เหมือนตกนรก เงินเดือนต่ำ รายได้น้อย ชีวิตส่วนตัวไม่มี ออกนอกคุกไม่ได้
วันนี้ (25 ส.ค.) เมื่อเวลา 22.20 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำคลองเปรม หลังจากช่วงเย็นของวันนี้ (25 ส.ค.) ศาลฎีกาอนุญาตให้ประกันตัวพร้อมกับพวกอีก 2 คน โดยให้ใช้หลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 ล้านเป็นคนละ 12 ล้านบาท ท่ามกลางมวลชนที่มารอต้อนรับการกลับบ้านครั้งนี้อย่างอบอุ่น
จากนั้นนายสนธิได้ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับการปล่อยตัว ส่วนกรณีที่ คสช.ให้เอเอสทีวีออกอากาศได้อีกครั้งนั้น ตนไม่ทราบ ต้องถามคนทำเอเอสทีวี ทั้งนี้ขณะที่อยู่ในเรือนจำมีความสุขดี แค่เปลี่ยนที่นอน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนดีกับตนหมด ทุกคน เป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่าจะมีใครว่าจ้างคนมาทำร้ายตน
นอกจากนี้ นายสนธิได้กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ปัญหาของชาติบ้านเมืองไม่ได้แก้ที่คุก แต่แก้ที่รัฐบาล และต้นน้ำคือตำรวจ ถ้าไม่จับผู้ต้องหาแบบเหวี่ยงแหก็จะไม่เยอะขนาดนี้ ซึ่งประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรมขั้นต้นเพราะเมื่อถูกคดีความ ทนายความมักจะให้ผู้ต้องหาสารภาพเพื่อแลกกับค่าว่าจ้างแค่ 1 พันบาทโดยเร็ว หากได้ทนายความที่ดีก็จะไม่ติดคุกขนาดนี้
ขณะที่กรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั้นเป็นหน่วยงานที่ถูกละเลยมากอย่างมหาศาล เพราะราชทัณฑ์คือถังขยะสุดท้ายที่สังคม ตำรวจ และรัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมา แล้วบอกให้สร้างคุกเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีผู้ต้องหา 2.9 แสนคน แต่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หมื่นคน ทำงานหลายหน้าที่เพื่อทำให้ผู้ต้องหาดีขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ติดคุกเหมือนกับผู้ต้องขัง เพราะออกนอกคุกไม่ได้
คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล”
“ผมมีความสุขดีอยู่ในเรือนจำ ผมแค่เปลี่ยนที่นอนเฉยๆ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนดีกับผมหมด ทุกคนเป็นห่วงอยู่อย่างเดียว ว่ามีการว่าจ้างใครมาทำร้ายผมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่ได้ไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ก็พอลงจากตึกแล้วก็ไปที่แดนควบคุมซึ่งเป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นั่งอยู่ในนั้นทั้งวัน มีคนมานั่งด้วยเพราะเกรงว่าจะมีคนวางงานให้มาทำร้ายผม เพราะที่นั่นก็ร้อยพ่อพันแม่ทุกคน ก็ขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เข้าไปครั้งนี้ก็ได้เห็นข้อเท็จจริงหลายอย่าง ซึ่งผมดีใจที่ผมได้อยู่ 19 วัน
ผมเรียนรู้ชีวิตคนเยอะมาก และผมรู้ว่าปัญหาของชาติบ้านเมืองนั้นมันไม่ใช่แก้ที่คุก มันแก้ที่รัฐบาล มันแก้ที่ต้นน้ำคือตำรวจ ถ้าตำรวจไม่จับผู้ต้องหาแบบเหวี่ยงแห ผู้ต้องหาก็จะไม่เยอะขนาดนี้ ผมเห็นคนจนอยู่เยอะเลย ถูกคดีความ แล้วศาลตั้งทนายความมาให้ ทนายความนั้นได้ค่าว่าจ้างแค่พันบาท เพราะฉะนั้นแล้วทนายความต่างๆ ก็จะช่วยว่าความให้กับลูกความซึ่งเป็นจำเลย โดยว่าความว่าสารภาพไปเถอะ เพื่อจะรับเงินพันบาทอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วเมื่อฟังเหตุการณ์แล้วเขาไม่น่าจะต้องมาติดคุก ถ้าเขามีทนายความที่ดี นี่คือความยุติธรรมขั้นต้น ซึ่งประชาชนไม่ได้รับเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้
สิ่งที่ผมเรียนรู้ต่อมาก็คือว่า ราชทัณฑ์คือถังขยะสุดท้ายที่สังคมสร้างปัญหาขึ้นมา ตำรวจสร้างปัญหาขึ้นมา รัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมา แล้วเอามาใส่ถังขยะ แล้วก็บอกราชทัณฑ์ให้สร้างคุกเพิ่มขึ้น ผู้ต้องหา 290,000 คน มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หมื่นกว่าคน ทำงานเป็นทั้งตำรวจ ทำงานเป็นทั้งนักจิตวิทยา นักการศึกษา ทำงานเป็นทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่ทำให้ผู้ต้องหาดีขึ้น แต่ว่าเงินเดือนต่ำ เบี้ยเลี้ยงน้อย ชีวิตส่วนตัวไม่มีเลย ต้องเข้าเวรตลอดเวลา ผมสนิทสนมกับพวกเขามาก คุยจนทราบถึงปัญหาส่วนตัวเขาหลายอย่าง ซึ่งแต่ละคนบอกว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คือการตกนรก เพราะฉะนั้นแล้ว จริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คือคนติดคุกเหมือนผม แต่ต่างกว่าที่ว่าสามโมงครึ่งผมต้องขึ้นตึกเข้าห้องนอน ส่วนเขานั้นยังเดินไปเดินมาได้ แต่ก็ออกนอกคุกไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมอยากจะให้ทุกคนเข้าใจสักนิดหนึ่งว่า กรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั้นเป็นหน่วยงานที่ถูกละเลยมากอย่างมหาศาล ผู้ต้องขังส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ต้องขังซึ่งโดนคดียาเสพติด คดีผิดทางเพศ และก็คดีฉ้อโกง ก็นั่งคุยอยู่ 3-4 คน คนหนึ่งก็บอกว่า ผมโดนคดียาเสพติด ประหารชีวิต ตอนนี้ลดโทษตลอดชีวิต ตอนนี้เหลือ 30 กว่าปี อีกคนก็บอกว่า ผมโดนคดีฆ่าคนตาย ผมยิงคนตาย 3 คนด้วยความแค้นที่เยาวราช โดนประหารชีวิต เหลือตลอดชีวิต อีกคนก็บอกว่า ผมก็โดนคดีปล้นรถขนเงินที่โคราช ถ้าจำได้หลายปีมาแล้ว ปรากฎว่าเขาบอก พี่โดนอะไร บอกผมโดนคดีเอาบริษัทไปค้ำประกันอีกบริษัทหนึ่ง เขาก็บอก โอ้โหพี่ ของพี่นี่มันเด็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับพวกผม แล้วพี่เข้ามาได้ยังไง คดีแบบนี้ ใช่ไหม ก็มีแค่นั้นเอง ขอบคุณมากครับทุกคน”
วันนี้ (25 ส.ค.) เมื่อเวลา 22.20 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำคลองเปรม หลังจากช่วงเย็นของวันนี้ (25 ส.ค.) ศาลฎีกาอนุญาตให้ประกันตัวพร้อมกับพวกอีก 2 คน โดยให้ใช้หลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 ล้านเป็นคนละ 12 ล้านบาท ท่ามกลางมวลชนที่มารอต้อนรับการกลับบ้านครั้งนี้อย่างอบอุ่น
จากนั้นนายสนธิได้ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับการปล่อยตัว ส่วนกรณีที่ คสช.ให้เอเอสทีวีออกอากาศได้อีกครั้งนั้น ตนไม่ทราบ ต้องถามคนทำเอเอสทีวี ทั้งนี้ขณะที่อยู่ในเรือนจำมีความสุขดี แค่เปลี่ยนที่นอน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนดีกับตนหมด ทุกคน เป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่าจะมีใครว่าจ้างคนมาทำร้ายตน
นอกจากนี้ นายสนธิได้กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ปัญหาของชาติบ้านเมืองไม่ได้แก้ที่คุก แต่แก้ที่รัฐบาล และต้นน้ำคือตำรวจ ถ้าไม่จับผู้ต้องหาแบบเหวี่ยงแหก็จะไม่เยอะขนาดนี้ ซึ่งประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรมขั้นต้นเพราะเมื่อถูกคดีความ ทนายความมักจะให้ผู้ต้องหาสารภาพเพื่อแลกกับค่าว่าจ้างแค่ 1 พันบาทโดยเร็ว หากได้ทนายความที่ดีก็จะไม่ติดคุกขนาดนี้
ขณะที่กรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั้นเป็นหน่วยงานที่ถูกละเลยมากอย่างมหาศาล เพราะราชทัณฑ์คือถังขยะสุดท้ายที่สังคม ตำรวจ และรัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมา แล้วบอกให้สร้างคุกเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีผู้ต้องหา 2.9 แสนคน แต่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หมื่นคน ทำงานหลายหน้าที่เพื่อทำให้ผู้ต้องหาดีขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ติดคุกเหมือนกับผู้ต้องขัง เพราะออกนอกคุกไม่ได้
คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล”
“ผมมีความสุขดีอยู่ในเรือนจำ ผมแค่เปลี่ยนที่นอนเฉยๆ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนดีกับผมหมด ทุกคนเป็นห่วงอยู่อย่างเดียว ว่ามีการว่าจ้างใครมาทำร้ายผมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่ได้ไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ก็พอลงจากตึกแล้วก็ไปที่แดนควบคุมซึ่งเป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นั่งอยู่ในนั้นทั้งวัน มีคนมานั่งด้วยเพราะเกรงว่าจะมีคนวางงานให้มาทำร้ายผม เพราะที่นั่นก็ร้อยพ่อพันแม่ทุกคน ก็ขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เข้าไปครั้งนี้ก็ได้เห็นข้อเท็จจริงหลายอย่าง ซึ่งผมดีใจที่ผมได้อยู่ 19 วัน
ผมเรียนรู้ชีวิตคนเยอะมาก และผมรู้ว่าปัญหาของชาติบ้านเมืองนั้นมันไม่ใช่แก้ที่คุก มันแก้ที่รัฐบาล มันแก้ที่ต้นน้ำคือตำรวจ ถ้าตำรวจไม่จับผู้ต้องหาแบบเหวี่ยงแห ผู้ต้องหาก็จะไม่เยอะขนาดนี้ ผมเห็นคนจนอยู่เยอะเลย ถูกคดีความ แล้วศาลตั้งทนายความมาให้ ทนายความนั้นได้ค่าว่าจ้างแค่พันบาท เพราะฉะนั้นแล้วทนายความต่างๆ ก็จะช่วยว่าความให้กับลูกความซึ่งเป็นจำเลย โดยว่าความว่าสารภาพไปเถอะ เพื่อจะรับเงินพันบาทอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วเมื่อฟังเหตุการณ์แล้วเขาไม่น่าจะต้องมาติดคุก ถ้าเขามีทนายความที่ดี นี่คือความยุติธรรมขั้นต้น ซึ่งประชาชนไม่ได้รับเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้
สิ่งที่ผมเรียนรู้ต่อมาก็คือว่า ราชทัณฑ์คือถังขยะสุดท้ายที่สังคมสร้างปัญหาขึ้นมา ตำรวจสร้างปัญหาขึ้นมา รัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมา แล้วเอามาใส่ถังขยะ แล้วก็บอกราชทัณฑ์ให้สร้างคุกเพิ่มขึ้น ผู้ต้องหา 290,000 คน มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หมื่นกว่าคน ทำงานเป็นทั้งตำรวจ ทำงานเป็นทั้งนักจิตวิทยา นักการศึกษา ทำงานเป็นทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่ทำให้ผู้ต้องหาดีขึ้น แต่ว่าเงินเดือนต่ำ เบี้ยเลี้ยงน้อย ชีวิตส่วนตัวไม่มีเลย ต้องเข้าเวรตลอดเวลา ผมสนิทสนมกับพวกเขามาก คุยจนทราบถึงปัญหาส่วนตัวเขาหลายอย่าง ซึ่งแต่ละคนบอกว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คือการตกนรก เพราะฉะนั้นแล้ว จริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คือคนติดคุกเหมือนผม แต่ต่างกว่าที่ว่าสามโมงครึ่งผมต้องขึ้นตึกเข้าห้องนอน ส่วนเขานั้นยังเดินไปเดินมาได้ แต่ก็ออกนอกคุกไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมอยากจะให้ทุกคนเข้าใจสักนิดหนึ่งว่า กรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั้นเป็นหน่วยงานที่ถูกละเลยมากอย่างมหาศาล ผู้ต้องขังส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ต้องขังซึ่งโดนคดียาเสพติด คดีผิดทางเพศ และก็คดีฉ้อโกง ก็นั่งคุยอยู่ 3-4 คน คนหนึ่งก็บอกว่า ผมโดนคดียาเสพติด ประหารชีวิต ตอนนี้ลดโทษตลอดชีวิต ตอนนี้เหลือ 30 กว่าปี อีกคนก็บอกว่า ผมโดนคดีฆ่าคนตาย ผมยิงคนตาย 3 คนด้วยความแค้นที่เยาวราช โดนประหารชีวิต เหลือตลอดชีวิต อีกคนก็บอกว่า ผมก็โดนคดีปล้นรถขนเงินที่โคราช ถ้าจำได้หลายปีมาแล้ว ปรากฎว่าเขาบอก พี่โดนอะไร บอกผมโดนคดีเอาบริษัทไปค้ำประกันอีกบริษัทหนึ่ง เขาก็บอก โอ้โหพี่ ของพี่นี่มันเด็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับพวกผม แล้วพี่เข้ามาได้ยังไง คดีแบบนี้ ใช่ไหม ก็มีแค่นั้นเอง ขอบคุณมากครับทุกคน”