xs
xsm
sm
md
lg

“ไพศาล” ค้าน “สมชาย” เสนอเพิ่มฎีกาแผนกคดีนักการเมืองสองศาล หวั่นคดีโกงถูกยื้อไร้คนผิดเพิ่มขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไพศาล พืชมงคล (ภาพจากแฟ้ม)
อดีต สนช.ปี 49 ติง “สมชาย แสวงการ” อ้างผู้พิพากษาฎีกาอยากเพิ่มขั้นตอนตัดสินนักการเมืองโกง ยันศาลไม่เคยมีดำริเพิ่มสองศาล เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองทำงานมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว หวั่นเปิดทางให้พวกขี้โกงยื้อคดี ย้ำจะปฏิรูปต้องเพิ่มประสิทธิภาพสกัดกั้นโกงได้ผล

นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี 2549 กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีดำริว่าอาจมีการเสนอเพิ่มขั้นตอนการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาของนักการเมือง โดยให้มีสองศาลจากที่มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพียงศาลเดียว โดยตั้งข้อสังเกตว่า การปรารภของนายสมชายได้อ้างว่าเป็นความดำริของฝ่ายวิชาการของศาล แต่น่าเสียดายไม่ระบุว่าฝ่ายวิชาการอะไร ของศาลไหน เท่าที่ตนทราบไม่ว่าสำนักงานส่งเสริมตุลาการ หรือเนติบัณฑิตยสภา หรือสำนักงานเลขานุการศาลยุติธรรม ไม่เคยมีดำริเช่นนี้เลย และเท่าที่ทราบนั้นในสายตาของฝ่ายตุลาการไม่เห็นว่าการดำเนินงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีปัญหาความไม่ยุติธรรม หรือความไม่ถูกต้อง หรือความไม่ชอบด้วยขั้นตอนแต่ประการใด และนับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญ 2540 ใช้บังคับ ก็มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทุจริตของนักการเมือง และการทำงานของศาลก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แม้มีเสียงท้วงติงจากจำเลยบางคน ก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นในศาลนี้กระทบกระเทือนหรือมีปัญหาแต่ประการใด การดำริแก้ไขให้เพิ่มชั้นศาลขึ้นอีกจึงทำให้คนคิดไปได้ว่าการทำงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ผ่านมามีปัญหา ซึ่งจะเกิดผลลบแก่ศาล และเกิดผลดีแก่คนขี้โกง

นายไพศาลกล่าวว่า การเพิ่มขั้นตอนให้มีชั้นศาลเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง จะทำให้เวลาในการพิจารณาพิพากษาคดียืดเยื้อออกไป เพราะคดีที่จะขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ไม่ใช่จู่ๆ ก็มาฟ้องศาลได้ ต้องผ่านกระบวนการที่ยาวเหยียดมาก คือต้องผ่านขั้นตอนจาก ป.ป.ช.มาก่อน กระบวนการที่ยืดเยื้อยาวนานของ ป.ป.ช.ก็ถูกกล่าวหาอยู่ว่าเอื้อประโยชน์ให้พวกขี้โกง โกงแล้วโกงอีก จนกฎหมายบังคับอะไรไม่ได้ จาก ป.ป.ช.ก็ไปอัยการ ซึ่งก็มีกระบวนการที่ยืดเยื้อเรื้อรังอีก จนกระทั่งเป็นปัญหาหมักหมมอยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะถ้าอัยการไม่เห็นด้วยก็ต้องตั้งคณะกรรมการร่วม ตั้งคณะกรรมการร่วมแล้วถ้าเห็นไม่ตรงกันก็ต้องจบไปหรือไม่ ป.ป.ช.ก็ต้องไปหาทนายฟ้องเอง ครั้นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วก็ยังต้องมีกระบวนการที่ศาลฎีกาต้องประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือกองค์คณะ จากนั้นองค์คณะก็ต้องตั้งคณะเจ้าของสำนวน แล้วลงมือทำการไต่สวนและใช้ระบบไต่สวนในการพิจารณา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสอย่างกว้างขวางและมีองค์คณะเป็นจำนวนมาก จึงไม่มีปัญหาเรื่องความถูกต้องเที่ยงธรรมของศาล ต่างจากคดีทั่วไปที่ใครๆ ก็ไปยื่นฟ้องโครมไปได้เลย จึงต้องมีหลายศาล ดังนั้น หากจะเพิ่มชั้นศาลขึ้นมาอีกก็จะยิ่งยืดเยื้อเรื้อรังและเอาผิดกับใครไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะกระบวนการที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็รู้เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่าทำอะไรกับพวกขี้โกงไม่ได้ หากไปขยายเวลา ขยายชั้นศาล ซึ่งดูเหมือนว่าดี แต่ที่แท้ก็คือยิ่งเอื้อประโยชน์ให้กับพวกขี้โกงมากขึ้นนั่นเอง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก หากจะปฏิรูปก็ควรถือหลักการว่าต้องมีประสิทธิภาพในการหยุดยั้งการโกงอย่างได้ผล และเมื่อโกงแล้วก็สามารถปราบปรามอย่างได้ผล ความยุติธรรมในตัวหนังสือใครๆ ก็พูดกันได้ แต่ในที่สุดก็จะโกงกันหนักขึ้นกว่าเก่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วง” นายไพศาลระบุ


กำลังโหลดความคิดเห็น