ผ่าประเด็นร้อน
ทิศทางประเทศไทยนับจากนี้ไป อำนาจในการบริหารยังคงอยู่ในมือของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
และอำนาจยิ่งเบ็ดเสร็จเมื่อ “บิ๊กตู่” มีแนวโน้มจะนั่งควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกเก้าอี้
เพราะหลังที่ปลดล็อกแรกด้วยการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปแล้ว 200 จาก 220 ที่นั่งที่มี ซึ่งไม่ผิดคาดเมื่อมีเสียงท้วงติงดังกระหึ่มว่ามี “ทหาร” ทั้งใน-นอกราชการ เข้ามาเกินพอดี
ที่สำคัญหลายคนไม่ได้มีแบ็กกราวนด์ เกี่ยวกับงานด้านนิติบัญญัติแม้แต่น้อย
แต่เสียงดังเพียงใดก็เป็นเหมือนเสียงนกเสียงกา เพราะชั่วโมงนี้ไม่มีใครทัดทานพลังของ คสช. ได้ เพราะ “บิ๊กตู่” ดูจะขึงขัง เอาจริง บรรดาพวกติเพื่อก่อ หรือหวังดีแค่ไหน ก็ต้องพึมพำบ่นในใจเบาๆ
เพราะหากล้ำเส้นขึ้นมา ดีไม่ดีจะโดน “หมัดน็อก” เอาได้
จากนี้ภารกิจสำคัญของ สนช. ที่จะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 7 ส.ค. นี้ คือการชงชื่อแต่งตั้ง “นายกรัฐมนตรี” ขึ้นทูลเกล้าฯ
ส่วนตำแหน่ง “ประธาน สนช.” ที่จะชงชื่อนายกฯนั้น ดูจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้น หลังจากที่ปรากฏชื่อ 200 สนช. ออกมา เพราะเต็งหนึ่งที่อยู่ในใจ “บิ๊กตู่” และเป็นคนที่ต้องทูลเกล้าฯ ชื่อผู้นำประเทศ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “พรเพชร วิชิตชลชัย” ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในระยะหลัง กับตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้า คสช.
มีผลงานให้เห็นมาแล้วกับกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่ “บิ๊กตู่” ไว้ใจถึงขนาดให้เป็นคนตรวจบรู๊ฟ ขั้นสุดท้าย
พื้นเพของ “พรเพชร” นั้นว่ากันว่าสนิทสนมกันดีกับ “บิ๊กตู่” ซึ่งสายสัมพันธ์เริ่มเน้นเฟ้น ในช่วงที่ทั้ง 2 คน นั่งใน สนช. ปี 2549 ด้วยกัน รวมไปถึงพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช. ก็เคยอยู่ใน สนช. ปี 2549 ด้วย
ทั้ง “พี่ป้อม - น้องตู่” จึงไว้ใจยี่ห้อ “พรเพชร” เป็นอย่างดี รู้มือว่าสามารถควบคุมเสียงใน สนช. ไม่ให้แตกแถว เพื่อบรรลุภารกิจได้
ยิ่ง “พรเพชร” ออกมาบอกว่า ชื่อของ “นายกรัฐมนตรี” มีอยู่ในใจแล้ว ผนวกกับ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” ผบ.ทอ. รองหัวหน้า คสช. ออกมาชงชนิดหวานเจี๊ยบว่า “บิ๊กตู่” เหมาะเป็นนายกฯ
นาทีนี้ เจ้าของรหัส “สร.1” จึงเป็น “บิ๊กตู่” เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ฟันธงกันถึงเหตุ และผลที่ “บิ๊กตู่” จะขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า ก็เพราะไม่อยากซ้ำรอยผู้นำรัฐประหารคนก่อน “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ทำรัฐประหารแล้วไม่นั่งตำแหน่งนายกฯด้วยตัวเอง แล้วมาบ่นเสียดายภายหลัง
ว่ากันไปอีกว่า การควบคุมอำนาจการปกครอง 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ของ “บิ๊กตู่” แทบที่จะไม่มีบรรดา “อำมาตย์” เข้ามามีเอี่ยวด้วย การต่อรอง หรือโควตาของสาย “อำมาตย์” จึงยังไม่มีให้เห็นมากนัก
เห็นได้จาก สนช. ที่มีเพียง “พล.อ.อู๊ด เบื้องบน” เท่านั้น ที่เหลือแทบจะจับโยงกับ “อำมาตย์” ไม่ได้
มองต่อไปถึงรายชื่อ “ครม. ประยุทธ์ 1” ที่คงมีบทเรียนจาก “ครม. ขิงแก่” เฉกเช่น ครม. จากรัฐประหารปี 2549 แน่นอน
การจัดโผ ครม. ก็มีคู่ขนานไปกับการทำบัญชี สนช. มีทั้งการเคลื่อนไหวในทางลับ และสัญญาใจกันแล้วว่า ใครจะนั่งตำแหน่งไหน และทิศทางการบริหารจะเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาจากประชาชน ทั้งกองเชียร์-กองแช่ง ได้
ตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ชื่อของ 3 รองหัวหน้า คสช. มาแรงไม่แหกโผ ประกอบด้วย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.- พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร.- พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ดาหน้ากันมาครบชุด
นอกจากนี้ ในรายของ “บิ๊กจิน” ดูเหมือนจะต้องรับบทหนัก เพราะคงดูมอบหมายให้ควบคุมดูแลกระทรวงเศรษฐกิจ ทั้งหมด
โดยตามโผแล้วจะนั่งควบ “รมว.คมนาคม” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ได้รับความคาดหมายไว้ว่า ให้นั่งเก้าอี้ “รมว.พลังงาน” เพราะมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
แต่เมื่องานหลักอย่างหนึ่งของ คสช. คือ จัดวางระบบคมนาคมใหม่เกือบทั้งหมด จึงอยากมอบให้ “บิ๊กจิน” ซึ่งมีบุคลิกเด็ดขาด เชื่อถือได้มากที่สุด เข้าไปคุมกระทรวงนี้ โดยให้ “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ” ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ยึดเก้าอี้ รมว.พลังงาน แทน
สำหรับ “บิ๊กอู๋” ตอนแรกถูกคาดหมายว่า อาจจะโดน “ทหาร” เขี่ยพ้นทาง แต่ในที่สุด ก็ยังออกลูกเกรงใจกันอยู่ นอกจากตำแหน่งรองนายกฯแล้ว “บิ๊กตู่” อาจจะมอบหมายให้นั่งเก้าอี้ รมต.สำนักนายกฯ ควบคุมดูแล “สื่อ” เป็นหลัก
นอกจากนี้ เมื่อกางบัญชี “พี่ที่รัก - เพื่อนรัก - น้องรัก” ของ “บิ๊กตู่” ยังมีบัญชีเข้าคิวรอรับบำเหน็จบำนาญกันเป็นหางว่าว ซึ่งทุกคน มีโอกาสเข้ามานั่งใน ครม. เกือบทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่ “พี่ป้อม” ที่ส่งเครือข่ายเข้าไปนั่งใน สนช. หลายคน แม้ข่าวจะเงียบไปหน่อยว่า “พี่ป้อม” จะมานั่งตำแหน่งไหน แต่พอฟันธงได้ว่า งานนี้มีที่ว่างสำหรับ “พี่ป้อม” แน่นอน ซึ่งต้องคุยกับ “น้องตู่” ให้ดีว่า ใครจะนั่งตำแหน่ง รมว.กลาโหม หาก “น้องตู่” ไฟเขียว “พี่ป้อม” คงไม่ขัดเขินที่จะรับตำแหน่งเอง
“พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” ที่ปรึกษา คสช. เพื่อนรบคู่หูคู่ใจ “บิ๊กตู่” มีข่าวลือออกมาตลอดว่า งานนี้ไม่ตกขบวนแน่นอน ซึ่งได้รับความคาดหมายว่า จะเข้ามานั่งตำแหน่ง “มท.1”
“พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” ผู้ช่วย ผบ.ทบ. หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. ลูกน้องคนโปรดของ “บิ๊กตู่” ที่มักจะชอบชมต่อหน้าคนอื่นเสมอว่า “ไพบูลย์ เนี่ยเห็นเขาตัวเล็ก แต่ในไม่ธรรมดานะ” คงได้นั่งเก้าอี้ รมว.ยุติธรรม นอนมาอีกคน
ส่วน คนนอก ที่ดูดีมีภาษีสุดต้องยกให้ “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” รองประธานคณะที่ปรึกษา คสช. คงขยับมาคุมกระทรวงการคลัง เพราะ “หม่อมอุ๋ย” ขึ้นชื่อลือชา เรื่องความรู้ ความสามารถ ด้านการคลังอยู่แล้ว
ครั้งหนึ่งเคยโดน “นช.แม้ว” ทาบทามให้นั่ง รมว.คลัง ในรัฐบาลปูแดงด้วย แต่ “หม่อมอุ้ย” ไม่เอาด้วย เพราะไม่อยากทำนโยบายรับจำนำข้าว
ด้านตาอยู่อย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่ปรึกษา คสช. “สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” อดีต รัฐมนตรีพรรคไทยรักไทย ที่ช่วงหลังเร่งแสดงผลงานเดินสายเชื่อมสัมพันธไมตรี กับต่างประเทศให้กับ คสช. ซึ่งในใจลึกๆ คงหวังรีเทิร์น เป็นเสนาบดี หรือส้มหล่น ถึงขั้นหัวหน้าเสนาบดี
คงต้องกอดคอกันซดน้ำแห้ว เพราะมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ว่า มาตรา 20 นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 8 วรรค 4 ระบุว่า ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้
ซึ่งทั้ง “สมคิด - สุรเกียรติ์” เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดที่จะเกิดขึ้นได้
ดีที่สุด คงเป็นทีมผู้แทนการค้าไทย ที่วัดศักดิ์ศรีแล้ว ไม่ด้อยไปกว่ารัฐมนตรี
ในส่วนของ “รัฐมนตรี” ในตำแหน่งอื่น “บิ๊กตู่” จะเร่งทาบทามคนที่ คสช. คิดว่าเหมาะสม และไว้ใจได้มากที่สุดเข้ามารับตำแหน่ง ใครผิดหวังก็มองไปต่อที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือแย่กว่านั้น ก็รอรถไฟขบวนสุดท้ายกับ 20 เก้าอี้ สนช. ที่เว้นว่างไว้ปลอบใจคนอกหัก
นับจากนาทีนี้ เชื่อเหลือเกินว่า การทำโผ ครม. ชุดใหม่ ไม่ง่ายแน่ 35 เก้าอี้ ที่มีให้ช่วงชิง คงไม่พอกับจำนวนแคนดิเดต ที่พร้อมส่งตัวเองเข้าประกวดตามไทม์ไลน์ ของ “บิ๊กตู่” ที่ว่า จะได้ ครม. เข้ามาบริหารประเทศ ก่อนเดือน ก.ย. นี้ แน่นอน
แต่กว่าจะถึงเวลานั้น ภายใน คสช. คงสนุกพิลึก