สะเก็ดไฟ
ร่างพล็อตเขียนบทไว้อย่างจงใจกับการเลือกเปิดตัว “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2557 แถมเจาะจงเลือกใช้ถ้อยคำ “ประกาศ ณ ย่ำรุ่ง” เพื่อต้องการโหนกระแสวันครบรอบเหตุการณ์ “ปฏิวัติ 2475” ของคณะราษฎรเมื่อ 82 ปีก่อน
ไม่เท่านั้น ในส่วนของชื่อองค์กรที่ตั้งซะสวยหรู ก็ไร้ซึ่งกาละเทศะเมื่อดันทะลึ่งเอาชื่อของ “ขบวนการเสรีไทย” ที่สร้างวีรกรรมเพื่อชาติเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 มาใช้อย่างหน้าไม่อาย จนเป็นเหตุให้แค่เริ่มต้นของ “องค์กรเสรีไทยยุคดิจิตอล” ถูกเหยียบมิดจมดินตั้งแต่คิกออฟเปิดตัวออกมา โดยเฉพาะคนรู้ทันเจตนาที่บังอาจพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง
ตัวละครเอกตามท้องเรื่องของ “องค์กรเสรีไทย” ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ทั้ง “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเลขาธิการองค์กรฯ เป็น “จารุพงศ์” ที่หนีหัวซุกหัวซุนตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจการปกครองจาก “ระบอบทักษิณ” เมื่อวันที่ 22 พ.ค.เดือนที่แล้ว
อีกหน่อก็ “เจ๊เพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และอยู่ระหว่างการหลบหนีคดี ที่ได้อ้างตัวเป็นเลขานุการบริหารองค์กร โดยมี “จารุพงศ์” เป็นผู้แต่งตั้ง นอกจากนั้นก็ไม่ปรากฏชื่อแนวร่วมคนอื่นๆ
กลายเป็นชงเองกินกันเอง เออออห่อหมกกันเอง ไม่ต่างจากตลกคาเฟ่
แน่นอนว่าวัตถุประสงค์ของกลุ่มที่มีกันอยู่สองหน่อนี้คือ การต่อต้านการเข้ายึดอำนาจการปกครองของ คสช.ที่นำโดย “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะหัวหน้า คสช. โดยก่อนหน้านี้ได้เคยมีข่าวเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่องหลายครั้งแล้วว่า มีแนวคิดในการก่อตั้งองค์กรต่อต้านการรัฐประหาร แต่ก็ยังไร้วี่แวว จนล่าสุดก็ประกาศเปิดตัว “องค์กรเสรีไทยฯ” ขึ้นมา
จุดพลุขึ้นมาไม่ทันไรก็ส่อเค้ากลายเป็น “องค์กรโจ๊ก” ที่ไร้ราคา เพราะไม่มีใครเอาด้วย แม้แต่ “สายพันธุ์ขี้ข้า” ด้วยกันอย่างพรรคเพื่อไทย-คนเสื้อแดง ก็กระโดดชิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
แต่เมื่อหาญกล้าประกาศตั้งองค์กรเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่า “เข้าทาง” ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะถือว่ามีเจตนาชัดเจนในการตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับ คสช.ที่กุมอำนาจบริหารประเทศในปัจจุบัน หลังจากที่แฝงตัวเป็น “อีแอบ” ใช้พื้นที่โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คปั่นกระแสหลอกลิ่วล้อไปวันๆ
และกลายเป็นไฟต์บังคับที่ “สีกากี” ต้องออกมาเด้งรับลูก
เบื้องต้นมีการตั้งคณะทำงานนำโดย “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” รอง ผบ.ตร. ในการมอนิเตอร์เฝ้าติดตามพฤติกรรม “จารุพงศ์-จักรภพ” อย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องคดีความนั้นทางเป็นในส่วนของกองปราบปรามฯ ที่รอให้มีเจ้าทุกข์มาแจ้งความเสียก่อน เพราะเจตนาเข้าข่ายทำผิดกฎหมายอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋
คาดว่าที่สุดแล้ว สองขี้ข้าคงหนีไม่พ้นข่อหา “กบฏ” ถึงวันนั้นขบวนการไล่ล่าตัวขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว
คำถามมีว่า แม้ว่า “ตำรวจ” ในยุค คสช.จะทำหน้าที่ตามแนวทางของ คสช.อย่างแข็งขันในหลายเรื่อง แต่สำหรับการตัวบุคคลที่อยู่ใน “ระบอบทักษิณ” จะเอาจริงเอาจังกันแค่ไหน
เพราะที่ผ่านมาก็มีเครื่องคำถามถึงบทบาทของ “ตำรวจ” มาโดยตลอดกับการไล่ล่าตัว “นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร” ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังใช้ชีวิตอย่างสบายอุรา บินโฉบไปโฉบมารอบประเทศไทยอย่างไม่แยแส
ตามสูตรสำเร็จของการการไล่ล่าผู้ที่กระทำผิดหลบหนีในต่างแดน ก็ต้องยืมมือ “ตำรวจสากล-อินเตอร์โปล” ให้ช่วยติดตามเป้าหมาย แต่ที่ผ่านมาส่วนใหญ่คว้าน้ำเหลวแทบทุกครั้ง โดยเฉพาะรายของ “ทักษิณ”
ครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสทองของ “ตำรวจ” ที่หากต้องการสลัดคราบ “ขี้ข้า” หรือ “มะเขือเทศ” ให้พ้นตัว เรียกคืนศักดิ์ศรีให้วงการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ควรใช้โอกาสนี้โชว์ฟอร์มร่วมสร้างบรรยากาศปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ ไม่ปล่อยให้พวกอีแอบเล่นปาหี่ให้ขายขี้หน้าชาวโลก
และจริงๆ แทนที่จะเสียเวลาไปไล่ล่า “ลูกสมุน” สู้ล็อกเป้าใหญ่ลากคอ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีทั้งโทษจำคุก-หมายจับอยู่เต็มกระบุงมาลงทัณฑ์เสียทีเดียว
งานนี้เท่ากับว่า จะโค่น “ต้นไม้พิษ” ที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ได้เบ็ดเสร็จที่สุด