ผ่าประเด็นร้อน
นี่คงซุ่มเงียบรอจังหวะกันมาพักใหญ่แล้ว รอให้ถึงวันสำคัญในประวัติศาสตร์เพื่อให้เกิดความจดจำ เป็นความหมายสื่อสัญญลักษณ์ ให้ออกไปในโทนนักปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยไปโน่น จึงได้เลือกวันที่ 24 มิถุนายน มาเป็นวันเปิดตัว “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” แถมยังใช้เวลา “ย่ำรุ่ง” เวลา 05.42 น.เสียอีก เท่เสียไม่มี
ความหมายก็ต้องการสื่อให้เห็นทำนองเดียวกับการปฏิวัติ 2475 ของคณะราษฎร ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าการยึดอำนาจดังกล่าวจะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าในที่สุดแล้วผลที่ออกมาในวันนี้มันเป็นประชาธิปไตยตามที่อ้างถึงจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ประชาธิปไตยจอมปลอมเพียงหน้าฉากที่ลอกมาจากตะวันตก แต่มาใช้กับคนไทยไม่ได้
แต่ถึงอย่างไรระบอบทักษิณก็ได้นำมาแอบอ้างมาใช้ตลอดเวลา คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่เป็นผู้ก่อการที่เห็นหน้าชัดก็คือ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ที่เพิ่งมีการเปิดเผยเมื่อสองสามวันก่อนว่าลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ถัดมาล่าสุดก็โผล่มาสถาปนาตัวเองเป็นเลขาธิการองค์กรเสรีไทยฯ ส่วนอีกคนก็คือ จักรภพ เพ็ญแข ก็ตั้งตัวเป็นเลขานุการบริหารองค์กรเสรีไทยฯ หากพิจารณาโดยผิวเผินมันก็ดูโก้หรู โอ้โหนี่มันองค์กรของนักปฏิวัติมีเป้าหมายต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ต่อสู้เพื่อปลดแอกให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหง มันช่างเท่จนน่าจะพลีชีพช่วยเหลือจริงๆ
แต่เมื่อพิจารณาแบ็กกราวนด์ตัวบุคคลทั้งคู่แล้ว มันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคนพวกนี้ไม่ใช่ของแท้ เป็นแค่ของปลอม มีความเคลื่อนไหวและบทบาทไม่ต่างจากข้าทาส หรือ “ขี้ข้า” มิหนำซ้ำยังถือว่าเป็นขี้ข้าปลายแถว ที่ถูกเรียกใช้ในช่วงที่ “แถวหนึ่งแถวสอง” ถูกจำกัดบทบาทจากพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องจนถึงพรรคพลังประชาชนต่างหาก ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่คนทั้งคู่คยมีบทบาทเป็นนักต่อสู้เพื่อมวลชน เคยเห็นแต่กระเสือกกระสนต่อสู้เพื่อตัวเองให้ได้ตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากตัวนายทาสซึ่งก็คือ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวนี้ ที่ทั้ง จักรภพ และ จารุพงศ์ ให้ความนับถือ ก็ยังเป็นนักประชาธิปไตยจอมปลอม หากินกับประชาธิปไตยจนร่ำรวย ต่อยอดมาจากธุรกิจผูกขาดจนศาลตัดสินพิพากษาว่าทุจริตฉ้อฉลใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบจนถูกยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดินกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท และยังถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยเวลานี้ยังหลบหนีอยู่ นอกจากนี้ นักประชาธิปไตยคนนี้ยังมีแต่เรื่องข้อหาทุจริตมาพัวพันตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซุกหุ้น เลี่ยงภาษี ใช้อิทธิพลทางการเมืองของตัวเองโกงข้อสอบให้ลูกสาว ย้ายคณะโดยมิชอบ ส่วนลูกชายก็ทุจริตการสอบ สารพัด สร้างนโยบายประชานิยมเพื่อให้ชาวบ้านเสพติดหลงไหล ขณะที่ตัวเองได้รับความนิยมสร้างนโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนไม่สิ้นสุด
ที่สำคัญตลอดเวลาที่คนพวกนี้อยู่ในอำนาจทางการเมือง กลับมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มีการย่ำยีระบบการตรวจสอบตามระบอบรัฐสภา ไม่เคยให้ความสำคัญกับการประชุมรัฐสภา ใช้วิธีซื้อวุฒิสมาชิกจนในเวลานั้นถูกเรียกว่า “สภาทาส” ทุกอย่างมีตัวอย่างให่เห็นจะจะคาตารับรู้กันไปทั่วอยู่แล้ว
แน่นอนว่าคราวนี้คนพวกนี้หวังจะใช้บรรยากาศการรัฐประหารยึดอำนาจคณะทหารของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นเครื่องมือสร้างเป็นเงื่อนไขทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อเรียกเสียงสนับสนุน ซึ่งในความเป็นจริงก็คงได้รับการเห็นใจบ้าง ซึ่งก็คงเป็นพวกเดียวกันที่เคยรับใช้ ได้ประโยชน์กันมานาน แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ คนพวกนี้มีสถานะไม่ต่างจากขี้ข้าของระบอบทักษิณ ไม่ใช่นักต่อสู้เพื่อประชาชน มีแต่ภาพลักษณ์ของคนทำร้ายดิตเครดิตบ้านเมืองตัวเอง ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยเคารพเทิดทูน และที่สำคัญคนพวกนี้เคยอยู่ในรัฐบาลที่ล้มเหลว ฉ้อฉล จนประชาชนหลายล้านคนทนไม่ไหวต้องออกมาขับไล่ แต่แทนที่พวก “นักค้าประชาธิปไตย” พวกนี้จะมีสปิริตยอมลาออกแต่โดยดี กลับดื้อรั้นกอดเก้าอี้เอาไว้แน่น อ้างหน้าตาเฉยว่ามาจากการเลือกตั้ง ทุกอย่างต้องตัดสินกันด้วยการเลือกตั้งเท่านั้น
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งสำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายโดยตรงอยู่แล้วจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหนในอนาคตขึ้นอยู่กับฝีมือและพฤติกรรมของพวกเขาเอง หลักการง่ายๆ ก็คือ ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้ทุกอย่างไม่มีบิดพลิ้ว หรือมีวาระซ่อนเร้น นั่นคือต้องเดินหน้าปฏิรูปทุกภาคส่วนอย่างขนานใหญ่ ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ไม่แสวงหาประโยชน์ทั้งส่วนตัวและพวกพ้อง ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อคนส่วนใหญ่ ถ้าทำแบบนี้ได้อย่างคงเส้นคงวา สิ่งเหล่านี้ก็คือยันต์กันภัยให้อย่างดี ไม่มีอะไรมากล้ำกรายได้ แต่ถ้าผลออกมาในทางตรงข้ามผลที่จะตามมาก็คงนึกภาพออกอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องแบบนี้ ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็เพิ่งย้ำให้เห็นภาพระหว่างการบรรยายให้ภาคเอกชนได้ยินมาแล้ว
ดังนั้นหากย้ำกันอีกทีก็ต้องบอกว่าการเคลื่อนไหวของลิ่วล้อเครือข่ายทักษิณ ที่ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตามจะไม่มีความหมาย หาก คสช.เดินหน้าทำตามสัญญานั่นคือ “ไม่โกง ไม่บ้าอำนาจ ทำเพื่อส่วนรวม” รับรองว่าไปโลด!!